วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2563

รีวิว แอปgoodnotes

Click ที่ภาพเพื่อให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและเพิ่มความคมชัดนะคะ
ส่วนตัวเราคิดว่าแอปนี้เป็นแอปที่ดีมากๆ นักเรียนควรจะซือไว้เรียน คุ้มจริงๆค่ะ ไม่ผิดหวังที่ซื้อมา
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยต่อหลายๆคนนะคะ

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2563

แอปน่าใช้ในไอแพด ipad

Click ที่รูปภาพเพื่อเพิ่มความคมชัดนะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อหลายๆคน

รีวิว ไอแพดgen7

หากต้องการสอบถามการใช้งานเพิ่มเติมสามารถแอดไลน์มาได้ที่ pattythailandjibi ค่ะ ทักมาได้ทุกปี ตลอดเวลานะคะ ปล.คลิกที่ภาพเพื่อให้มีความคมชัดมากขึ้นนะคะ

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

วิธีทำไอศกรีมง่ายๆ

ไอศกรีมโฮมเมด รสส้ม

  • น้ำตาลทราย 360 กรัม
  • น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
  • น้ำส้มคั้น 2 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำมะนาว 1/3 ถ้วยตวง
  • วิปปิ้งครีม 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
  1. ละลายน้ำตาลทรายโดยผสมกับน้ำ แล้วนำเข้าไมโครเวฟ 3 นาที นำออกมาคนให้น้ำตาลละลาย
  2. พักน้ำตาลให้เย็นลง เติมน้ำส้ม น้ำมะนาวและวิปปิ้งครีม คนให้เข้ากัน
  3. เทใส่กล่องพลาสติก แช่ช่องฟรีซไว้ 2 ชั่วโมง แล้วนำไอติมออกมากวนเพื่อไม่ให้ไอศกรีมเป็นเกร็ดน้ำแข็ง เอาออกมากวนทุก 2 ชั่วโมง เพื่อความเนียนของเนื้อไอศกรีม แค่นี้ก็ได้ไอศกรีมรสส้มทานเองที่บ้านแล้วค่ะ





ไอศกรีมโฮมเมด รสชาเขียว

ส่วนผสม
  • วิปปิ้งครีม 200 มิลลิลิตร
  • น้ำตาลทราย 80 กรัม
  • ไข่แดง 4 ฟอง
  • ผงมัทฉะ 36 กรัม
  • น้ำอุ่น 45 มิลลิลิตร
วิธีทำ
  1. ผสมผงชาเขียวในน้ำอุ่น คนให้ผงชาเขียวละลาย
  2. แบ่งน้ำตาลครึ่งแรกตีกับไข่แดงจนขึ้นฟู และใส่ชาเขียวที่ละลายน้ำแล้วลงไปผสม
  3. ตีน้ำตาลส่วนที่สองกับวิปปิ้งครีมให้ตั้งยอดแข็งแล้วเทไปผสมกับส่วนผสมของข้อที่ 2 ค่อยๆ คนให้เข้ากัน
  4. เทส่วนผสมใส่กล่องแล้วนำไปแช่ฟรีซ เอาออกมาคนทุก 40 นาที จนกว่าเนื้อไอศกรีมเนียนเข้ากันดี



ไอศกรีมโฮมเมด รสมะพร้าวนมสด

ส่วนผสม 
  • นมสด 250 กรัม
  • วิปปิ้งครีม 250 กรัม
  • น้ำมะพร้าว 250 กรัม
  • น้ำตาลทราย 185 กรัม
  • เกลือป่น ¼ ช้อนชา
  • เนื้อมะพร้าวอ่อน
วิธีทำ
  1. นำหม้อตั้งไฟอ่อน ใส่นมสด วิปปิ้งครีม น้ำมะพร้าว น้ำตาลทรายและเกลือ ลงไปต้มจนเดือด
  2. เติมเนื้อมะพร้าวลงไปแล้วต้มให้เดือดอีกครั้ง
  3. พักส่วนผสมให้เย็น เทส่วนผสมลงกล่องพลาสติก แล้วนำไปแช่ช่องฟรีซ นำออกมากวนทุก 1 ชั่วโมง จนกว่าจะได้ไอศกรีมเนื้อเนียนนุ่ม


4. ไอศกรีมโฮมเมด รสช็อกโกแลตฟัดจ์

ส่วนผสม 
  • นมข้นหวาน 80 มิลลิลิตร
  • ผงโกโก้  5 ช้อนโต๊ะ
  • นมข้นจืด 80 มิลลิลิตร
  • นมสดรสจืด 80 มิลลิลิตร
วิธีทำ
  1. นำนมสดไปอุ่นในไมโครเวฟให้พออุ่น นำผงโกโก้ผสมลงไปในนมอุ่น คนให้ผงโกโก้ละลาย
  2. เติมนมข้นหวานและนมข้นจืดลงไป ผสมให้เข้ากันแล้วเทใส่กล่องพลาสติก
  3. นำส่วนผสมไปแช่ในช่องฟรีซ นำออกมาคนทุกๆ 1 ชั่วโมงจนกว่าไอศกรีมจะเนียน

5. ไอศกรีมโฮมเมด รสมะนาว

ส่วนผสม
  • มะนาวหรือเลมอน 2 ผล
  • ไข่แดง 1 ฟอง
  • นมสด 3 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วยตวง
  • วิปปิ้งครีม 1 ถ้วยตวง
วิธีทำ
  1. คั้นน้ำมะนาวเตรียมใส่ถ้วยไว้
  2. ปั่นนมสดและน้ำตาลในเครื่องปั่น ปั่นจนน้ำตาลละลาย
  3. ใส่ไข่แดง น้ำมะนาว และวิปปิ้งครีมลงไปในเครื่องปั่น ปั่นจนเนื้อเนียนเป็นเนื้อเดียว
  4. นำส่วนผสมไปต้ม ตั้งไฟปานกลาง แล้วคอยคนอยู่ตลอดจนกว่าจะเดือด
  5. ปิดไฟยกลงจากเตาพักทิ้งไว้เย็น เทส่วนผสมลงกล่องพลาสติก
  6. นำไปแช่ช่องฟรีซ นำออกมากวนทุก 2 ชั่วโมง หรือแช่ไว้ 5 ชั่วโมงแล้วนำออกมาใส่เครื่องปั่นอีกที

6. ไอศกรีมโฮมเมด รสราสป์เบอร์รี

ส่วนผสม
  • ราสป์เบอร์รี่แช่แข็ง 500 กรัม
  • น้ำตาลทราย 175 กรัม
  • นมสด 50 มิลลิลิตร
  • วิปปิ้งครีม 300 มิลลิลิตร
  • น้ำมะนาว ครึ่งลูก
วิธีทำ
  1. ปั่นราสป์เบอร์รี่แช่แข็งในเครื่องปั่น นำราสป์เบอร์รี่ที่ได้มากรองเอาเม็ดออก
  2. ใส่น้ำมะนาว น้ำตาลทราย นมสด และวิปปิ้งครีมลงไป ตีให้เข้ากัน
  3. เทส่วนผสมใส่กล่องแล้วนำไปแช่ช่องฟรีซ นำออกมากวนทุก 2 ชั่วโมงหรือรอให้แข็งเป็นก้อนก็เลื่อนเวลามาเป็น 5 ชั่วโมงแล้วค่อยนำออกมาปั่นในเครื่องปั่น

7. ไอศกรีมโฮมเมด รสกล้วย

ไอศกรีมรสกล้วยใช้แค่กล้วยเพียงอย่างเดียว
วิธีทำ
  1. เลือกใช้เป็นกล้วยหอมสุก 2-3 ลูก หั่นเป็นแว่นแล้วแช่ช่องฟรีซทิ้งไว้ 2 ชั่วโมง หรือถ้าไม่อยากเอาออกมากวนทุกชั่วโมง ก็แช่ทิ้งไว้ข้ามคืน
  2. เมื่อกล้วยเซ็ตตัวกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว เอาออกมาปั่น ปั่นไปเรื่อยๆ จนเนียนกลายเป็นไอศกรีม

8. ไอศกรีมโฮมเมด รสสตรอเบอรี่


ส่วนผสม
  • สตรอเบอรี่ 15 ลูก
  • นมสด 200 มิลลิลิตร
  • วิปปิ้งครีม 200 มิลลิลิตร
  • เกลือ 1 หยิบมือ
  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • มะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 80 กรัม แบ่ง ไปบมสตอเบอร์รี่ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งเป็นส่วนผสมของนม
วิธีทำ
  1. นำสตรอเบอรี่สดไปแช่แข็ง เมื่อแข็งแล้วนำมาบมด้วยน้ำตาลและมะนาว บมทิ้งไว้ 30 นาที
  2. ระหว่างรอสตรอเบอรี่ที่บมไว้ ให้นำไข่ไก่ใส่ลงไปในอ่างผสม ใส่น้ำตาลทรายและเกลือลงไป ตีจนขึ้นฟูเป็นสีขาว
  3. เทนมสดลงไปในไข่ที่ตีไว้ คนให้เข้ากัน นำสตรอเบอรี่ที่บมไว้ได้ที่แล้ว ใส่ลงไปในชามผสม
    นำส่วนผสมทั้งหมดลงปั่น ไม่ต้องให้สตรอเบอรี่ละเอียดมาก
  4. นำส่วนผสมเทลงกล่องถนอมอาหารที่มีฝาปิดมิดชิด ตามด้วยวิปปิ้งครีม คนให้เข้ากัน
  5. นำไปแช่ตู้เย็นในช่องแช่แข็ง
  6. แช่ 2 ชั่วโมงให้นำออกมากวน แล้วนำเข้าตู้เย็นอีกครั้ง แช่ไว้ 5 ชั่วโมงก็ใช้ได้ หรืออาจจะใช้เวลามากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับตู้เย็นว่าอุณภูมิอยู่ที่เท่าไหร่

9. ไอศกรีมโฮมเมด รสสับปะรด

ส่วนผสม
  • น้ำตาล 1 ถ้วย
  • น้ำสะอาด 1 ถ้วย
  • เนื้อสับปะรด 8 ถ้วย
  • น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
วิธีทำ
  1. ทำน้ำเชื่อมก่อนโดยต้มน้ำให้เดือด นำน้ำตาลทรายใส่ลงไปเคี่ยว เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็น
  2. ปั่นสับปะรดให้ละเอียด ใส่น้ำเชื่อมลงไปผสมให้เข้ากัน บีบน้ำมะนาวลงไปเพื่อเพิ่มความเปรี้ยว
  3. เทส่วนผสมใส่กล่องพลาสติก แช่ช่องฟรีซ นำออกมากวดทุกชั่วโมง จนเนื้อไอศกรีมเนียน

10. ไอศกรีมโฮมเมด รสกาแฟ

ส่วนผสม
  • วิปปิ้งครีม 600 มิลลิลิตร
  • นมข้นหวานครึ่งกระป๋อง
  • กาแฟสำเร็จรูปประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำอุ่นเล็กน้อย
วิธีทำ
  1. ชงกาแฟเตรียมไว้ก่อนโดยใช้ผงกาแฟผสมกับน้ำอุ่นเพียงเล็กน้อย พอให้กาแฟละลาย คนจนกาแฟข้นเหมือนซอส
  2. นำกาแฟผสมกับนมข้นหวาน คนให้เข้ากัน แล้วนำส่วนผสมนี้ไปตีกับวิปปิ้งครีม
  3. นำส่วนผสมเทลงกล่องพลาสติกแล้วแช่ช่องฟรีซ เอาออกมากวนทุกๆ 1 ชั่วโมงจนไอศกรีมเนื้อเนียน

ไอศกรีมสูตรโฮมเมดนี้ไม่ได้ใส่สารกันบูด ดังนั้นไอศกรีมโฮมเมดจึงหมดอายุไว อยู่ได้ไม่กี่วัน ขึ้นอยู่วัตถุดิบที่ใส่เข้าไป เช่นนมหรือวิปปิ้งครีม หากเป็นสูตรที่มีแต่ผลไม้อาจจะอยู่ได้นานกว่า หากใครคิดจะทำไอศกรีมโฮมเมดแนะนำให้ทำทีละน้อยๆ ดีกว่านะ


วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

สถานที่ท่องเที่ยวใน ฮอกไกโด + ร้านอาหารอร่อย

Photo by elminium from flickr.com/photos/lumen850/5458050013/ [CC by 2.0]
ป้อมโงเรียวกาคุ หรือ ป้อมดาว 5 แฉก ตั้งอยู่ในเมืองฮาโกดาเตะ (Hakodate) เหตุที่เรียกกันว่าป้อมดาว 5 แฉก ก็เพราะบริเวณป้อม หากมองจากมุมสูงจะมีลักษณะคล้ายกับดาวแบบตะวันตก ป้อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงปีสุดท้ายของยุคเอโดะเพื่อป้องกันการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตก บริเวณตรงใจกลางของป้อม คือที่ทำการของผู้สำเร็จราชการที่บริหารเมืองฮอกไกโดในช่วงยุคโชกุน แต่เมื่อไม่ได้ใช้งานแล้ว จึงได้มีการบูรณะอาคารและปรับปรุงทัศนียภาพให้กลายเป็นสวนสาธารณะสำหรับชมดอกซากุระที่จะบานพร้อมกันในช่วงเดือนพฤษภาคม (ฮอกไกโดเป็นเกาะอยู่ด้านบนสุด ทำให้มีดูร้อนช้ากว่าที่อื่น ซากุระก็จะบานช้ากว่าที่อื่นในญี่ปุ่นด้วย) นอกจากนี้ป้อมโงเรียวกาคุ ยังมีหอคอยโงเรียวกาคุที่สูง 90 เมตร สำหรับชมวิวรอบ ๆ ป้อมแบบพาโนรามา โดยหอคอยถูกจัดสร้างขึ้นในปี 2006 ด้านล่างหอคอย มีทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และนิทรรศการเกี่ยวกับการจัดตั้งป้อมแห่งนี้อีกด้วย
เวลาเปิดทำการ
เปิดให้บริการทุกวัน เดือนเมษายน – เดือนตุลาคม เวลา 08.00 น.-19.00 น.
เดือนตุลาคม – เดือนเมษายน 09.00 น.-18.00 น.
ค่าเข้าชม
บริเวณสวนสาธารณะภายในป้อม เปิดให้เข้าชมฟรี
ที่ทำการอดีตรัฐบาล บริเวณใจกลางป้อม ผู้ใหญ่ 500 เยน นักศึกษาและผู้สูงอายุ 250 เยน เด็กเข้าชมฟรี
หอคอยโงเรียวกาคุ ผู้ใหญ่ 840 เยน นักเรียนและนักศึกษา 630 เยน เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเข้าชมฟรี


Photo by Jow from flickr.com/photos/128817170@N08/15711794480/ [CC by-nd 2.0]
จุดชมวิวภูเขาฮาโกดาเตะ ได้รับการจัดอันดับ 1 ใน 3 ให้เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่น เมื่อขึ้นมาบนภูเขาฮาโกดาเตะที่มีความสูงถึง 334 เมตร ก็จะได้เห็นวิวในมุมกว้าง ๆ ของชุมชนอาโกดาเตะที่ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาและทะเลอย่างสวยงาม จะมาชมกลางวัน แล้วมาชมกลางคืนซ้ำอีกครั้งก็ไม่แปลก เพราะทั้งสองช่วงเวลานี้ จะให้ความสวยงามที่แตกต่างกันไป
เวลาทำการ
เปิดให้บริการทุกวัน ปลายเดือนเมษายน – เดือนตุลาคม เวลา 10.00 น.-22.00 น.
ปลายเดือนตุลาคม – เดือนเมษายน เวลา 10.00 น.-21.00 น.
ค่าเข้าชม
ไม่เสียค่าเข้าชม แต่หากขึ้นไปบนจุดชมวิวด้วยเคเบิ้ลคาร์ มีค่าบริการ คือ ผู้ใหญ่ 1,280 เยน และเด็ก 640 เยน


Photo by Lionel Leong from flickr.com/photos/lionel-arts/26407081655/ [CC by-sa 2.0]
แต่เดิมนั้น เมืองโอตารุ เป็นท่าเรือเล็ก ๆ ที่มีความคึกคักเป็นอย่างมากในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่เมื่อการขนส่งเริ่มมีการพัฒนาและมีความทันสมัยมากกว่าเดิม เมืองท่าแห่งนี้ก็ค่อย ๆ ถูกลดความสำคัญลง เหลือเพียงหมู่บ้านชาวประมงที่ชื่อเฮอร์ริ่งเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยความสวยงามของสถานที่แห่งนี้ จึงทำให้ทางการได้เข้าไปปรับโฉมให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ด้วยการเปลี่ยนโกดังสำหรับเก็บสินค้าทะเล ให้กลายเป็นร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์เพื่อบอกเล่าความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ รวมถึงมีการติดตั้งโคมไฟแบบโบราณไปตามถนนที่ทอดยาวขนานไปกับคลองโอตารุ ทำให้มีความโรแมนติก มากขึ้นกว่าเดิม
เวลาทำการ
เปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง และไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด


Photo by pika1935 from flickr.com/photos/93256705@N05/28531761175 [CC by 2.0]
ดอกลาเวนเดอร์(Lavender) นิยมปลูกในภูมิภาคฮอกไกโดมานานกว่าครึ่งศตวรรษ ทุ่งดอกไม้ขนาดต่างๆ มีอยู่ทั่วเมืองฟูราโน่(Furano) เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดผู้คนให้มาชมความงดงามของทุ่งดอกไม้แห่งนี้ ซึ่งช่วงที่ดอกลาเวนเดอร์บานสะพรั่งเต็มที่ คือช่วงกลางเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม แต่ดอกลาเวนเดอร์จะคงบานอยู่ในกลางสิงหาคม นอกจากนี้ยังมีดอกไม้อีกมากมายหลายชนิดในฤดูอื่น เช่น ดอกป๊อปปี้ และดอกลูปิน ในเดือนมิถุนายน ดอกลิลลี่ ในเดือนกรกฎาคม ดอกทานตะวัน ดอกซัลเวีย และคอสมอส ในเดือนสิงหาคมถึงกันยายน
จุดชมดอกลาเวนเดอร์ที่ดีที่สุดคือ ฟาร์มโทมิตะ(Farm Tomita) ซึ่งมีวิวทิวทัศที่สวยงามจากฉากหลังเป็นภูเขาโทกะชิ(Tokachi mountain) ซึ่งเปิดให้เข้าชมฟรีอย่างอิสระ ใกล้ๆกับทุ่งดอกไม้ยังมีร้านกาแฟ ร้านค้าจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากลาเวนเดอร์อีกด้วย
เวลาทำการ
เปิดให้บริการทุกวัน  และไม่มีค่าบริการในการเข้าชม โดยมีช่วงระยะเวลาที่แตกต่างกัน ประมาณ 09.00-17.00


Photo by Lionel Leong from flickr.com/photos/lionel-arts/25797617134/ [CC by-sa 2.0]
มีนักท่องเที่ยวหลายคน ที่ตั้งใจเดินทางมาเล่นสกีที่สถานที่แห่งนี้ นอกเหนือไปจากการท่องเที่ยวและการทานอาหารเพียงอย่างเดียว เพราะลานสกีฟูราโน่ เคยเป็นลานสกีที่ใช้ในการแข่งขันระดับโลกมาก่อน จึงมีทั้งบริเวณทางลาดชันไม่มาก สำหรับผู้หัดเล่นสกีใหม่ ๆ และทางลาดชันแบบสูง ๆ สำหรับมือโปร หรือจะทำกิจกรรมร่วมกับหิมะ เช่น นั่งบนรถที่มีสุนัขลากเลื่อนเหมือนที่ชมในภาพยนตร์ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
เวลาทำการ
เปิดให้บริการเวลา 08.30 น. – 20.00 น. เฉพาะในช่วงฤดูหนาว
ค่าบริการเข้าชม
3 ชั่วโมง 4,000 เยน หากเหมาทั้งวัน ราคา 5,500 เยน ช่วงเวลาตั้งแต่ 17.00 – 21.00 น. 1,600 เยน (มีค่าเช่าอุปกรณ์อีกต่างหาก)


ล่องเรือตัดน้ำแข็งที่อะบาชิริ
photo by 221.20 (talk) From commons.wikimedia.org/wiki/File:AuroraII02.JPG( cc by public domain )
ธารน้ำแข็งอะบาชิริ เป็นความพิเศษของฮอกไกโดที่ควรมาชมและสัมผัสสักครั้งในชีวิต หากเดินทางมาในช่วงเดือนมกราคม – เดือนมีนาคม เพราะโดยทั่วไปแล้ว ธารน้ำแข็งมักจะเกิดขึ้นบริเวณมหาสมุทรอาร์กติกเท่านั้น แต่จะดูแต่ธารน้ำแข็งเพียงอย่างเดียวก็คงไม่สนุก ต้องลองนั่งเรือตัดน้ำแข็งเพื่อชมทัศนียภาพรอบ ๆ ด้วย เหตุที่เรียกว่าเรือตัดน้ำแข็งก็เพราะว่า เมื่อเรือชนเข้ากับแผ่นน้ำแข็ง น้ำแข็งก็แยกตัวออกไปเพื่อให้เรือสามารถเดินทางต่อไปได้นั่นเอง โดยเรือจะมีให้บริการ 4-5 รอบต่อวัน ซึ่งหากใครอยากจะไปล่องเรือชมธารน้ำแข็งที่น่าตื่นตาตื่นใจก็ต้องตรวจสอบเวลาให้ดีก่อนด้วย
เวลาทำการ
เริ่มตั้งแต่ 09.00 – 15.30 น.
ค่าบริการเข้าชม
จะเป็นค่าโดยสารเรือ โดยจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 540 เยน/คน



Photo by Kentaro Ohno from flickr.com/photos/inucara/22986787855/ [CC by 2.0]
ถึงแม้จะเรียกว่าเป็นหุบเขานรก เพราะมีแร่กำมะถันเป็นส่วนประกอบหลักของน้ำร้อนที่ไหลไปตามลำธาร จึงทำให้ดูเหมือนมีควันพวยพุ่งไปตามหุบเขาอยู่ตลอดเวลา แต่หุบเขาแห่งนี้ก็มีความสวยงามมากจนน่าไปเยี่ยมชมสักครั้ง โดยบริเวณหุบเขามีทางเดินเพื่อไต่เนินขึ้นไปเพื่อชมบ่อน้ำร้อนและบ่อโคลนที่สวยงาม จึงไม่แปลกที่จะมีกองถ่ายภาพยนตร์หลาย ๆ ชนชาติที่เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นฉากหนึ่งในภาพยนตร์ ไม่เว้นแม้กระทั่งภาพยนตร์จากประเทศไทย เรื่อง “แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว”


Source: Noboribetsu Onsen Dai-ichi Takimotokan from agoda.com/th-th/noboribetsu-onsen-dai-ichi-takimotokan/hotel/noboribetsu-jp.html
บ่อน้ำร้อนโนโบริเบทสึ ถูกเรียกว่าเป็นบ่อน้ำร้อน (ออนเซ็น) ที่ดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เพราะมีบ่อน้ำร้อนที่มีความแตกต่างกันถึง 9 ชนิด (บางแห่งก็ว่า 11 ชนิด) แบ่งไปตามแร่ธาตุชนิดต่าง ๆ เช่น บ่อน้ำพุร้อนกำมะถัน บ่อน้ำพุร้อนเกลือ บ่อน้ำพุร้อนโซเดียมไบคาร์บอเนต เป็นต้น เมื่อมาถึงบริเวณนี้แล้วต้องการแช่บ่อน้ำพุร้อน ก็สามารถเลือกบ่อได้ตามต้องการโดยติดต่อกับทางโรงแรมที่ให้บริการบ่อน้ำพุร้อนนั้น ๆ ซึ่งจะมีค่าบริการตั้งแต่ 700-2,500 เยนขึ้นไป (หากพักค้างคืนก็จะมีราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิม)
เวลาทำการ
ส่วนมากบ่อน้ำพุร้อนต่าง ๆ มักจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 7.00 น. เป็นต้นไป และปิดไม่เกิน 21.00 น. แต่อาจจะมีบางที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง


Photo by Tetsuji Sakakibara from flickr.com/photos/tetsuji0105/22038116161/ [CC by-sa 2.0]
สระอะโออิเคะ ตั้งอยู่ที่เมืองบิเอะ ไม่ไกลจากเทือกเขาโทกาชิมากนัก ความโดดเด่นของสระนี้อยู่ที่การมีสีฟ้าสดใสในช่วงฤดูร้อน แต่เมื่อถึงช่วงฤดูหนาว น้ำก็จะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอมเขียว ตัดกับหิมะที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้อย่างสวยงาม เหตุที่น้ำสามารถเปลี่ยนสีได้นั้น เกิดจากการที่ภายในน้ำมีสารอลูมิเนียมออกไซด์อยู่จำนวนมาก เมื่อสะท้อนกับแสงแดด ก็ทำให้เห็นเป็นสีฟ้าสดใส หรือสีฟ้าอมเขียว ขึ้นอยู่กับบริเวณที่เรายืนมอง และแสดงแดดส่องกระทบ
เวลาทำการ
เปิดให้เข้าชมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม
ไม่เสียค่าบริการในการเข้าชม


Photo by MIKI Yoshihito from flickr.com/photos/mujitra/12150605414/ [CC by 2.0]
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆของอกไกโด ที่นักท่องเที่ยวต้องมาชม เหตุที่สวนสัตว์แห่งนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ก็เพราะมีการเปิดให้เข้าชมในลักษณะของมุมมองที่แตกต่างไปจากการเข้าชมสวนสัตว์แบบเดิม ๆ เช่น การเดินผ่านอุโมงค์แก้ว เพื่อชมนกเพนกวินว่ายน้ำ การเดินผ่านโดมแก้วหิมะ เพื่อชมการใช้ชีวิตของหมีขั้วโลก เป็นต้น โดยไฮไลท์สุดของสวนสัตว์นี้คือการชมขบวนเพนกวินเดินพาเรดมาตามทางหิมะที่สามารถชมได้อย่างใกล้ชิดไม่มีอะไรมากั้นเลย
เวลาทำการ
เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.30 น. – 15.30 น. (อาจมีบางช่วงที่เปิดถึง 17.00)
ค่าเข้าชม
820 เยน


Photo by MIKI Yoshihito from flickr.com/photos/mujitra/8346369496 [CC by 2.0]
ออนเซ็นแห่งนี้ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติชิโกะซุ โทยะ อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองซัปโปโรมากนัก จึงทำให้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและชาวเมืองที่นิยมชมชอบการแช่ออนเซ็น เนื่องจากเดินทางสะดวก และยังมีฉากหลังเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม จึงมีชื่อเรียกกันแบบเล่น ๆ ว่า “ห้องนั่งเล่นแห่งซัปโปโร” โดยบริเวณรอบ ๆ ออนเซ็นก็มีโรงแรมแบบเรียวกังตั้งอยู่มากมาย โดยมีค่าบริการในการแช่ออนเซ็นเพียง 1,000 – 1,500 เยนเท่านั้น แต่ถ้าไม่สะดวก อยากแช่เท้าเฉย ๆ ก็ไม่เสียค่าบริการแต่อย่างใด


Photo by Lionel Leong from flickr.com/photos/lionel-arts/26380528716/ [CC by-sa 2.0]
ของฝากชื่อดังของฮอกไกโดที่นักท่องเที่ยวส่วนมากรู้จักกันดี ก็คือคุกกี้เนยไส้ไวท์ช็อคโกแลตยี่ห้อ Shiroi Koibito ที่ผลิตโดยบริษัท Ishiya ซึ่งได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาชมโรงงานได้ ภายในโรงงาน นักท่องเที่ยวจะได้เห็นการผลิตคุกกี้สุดอร่อยแบบใกล้ชิดทุกขั้นตอน และยังมีขนมอีกหลายชนิด เช่น คัพเค้ก ซอฟท์ครีม และช็อคโกแลต หรือถ้าอยากจะลองเวิร์คช้อปทำคุ้กกี้ด้วยตัวเอง ที่โรงงานก็มีสอนแบบสั้นๆ อีกด้วย
เวลาทำการ
เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 09.00 น. – 18.00 น.
ค่าเข้าชม
600 เยน



▌13Sapporo TV Tower, เมือง Sapporo
หอสูง Sapporo TV
หอสูง Sapporo TV
ซัปโปโรทีวีทาวเวอร์ เป็นหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ในเมืองซัปโปโร ที่มีความสูงถึง 142.7 เมตร อยู่บริเวณทิศตะวันออกของสวนสาธารณะโอโดริ ความพิเศษที่ทำให้นักท่องเที่ยวต้องมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ ก็คือการที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมวิวบริเวณความสูงจากพื้นดิน 90 เมตร และมีงานเทศกาลจัดอยู่รอบ ๆ ตลอดทั้งปี
เวลาทำการ
วันพฤหัสบดี – วันอังคาร เวลา 09.00 น. – 22.00 น.
ค่าบริการ
ผู้ใหญ่ 720 เยน นักเรียนนักศึกษา 300 – 600 เยน เด็กเล็ก 100 เยน


▌14. จุดชมวิว Mount Moiwa, เมือง Sapporo
Photo from Official Hokkaido Tourism

ภูเขาโมอิวะ เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองซัปโปโร บริเวณภูเขาโมอิวะเป็นจุดชมวิวเมืองในยามค่ำคืน (เริ่มดูได้เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้ว) แต่การจะขึ้นไปจนถึงยอดได้นั้น จะต้องนั่งกระเช้าไปก่อน แล้วนั่งเคเบิ้ลคาร์อีกครั้ง จึงจะถึงยอดเขาสำหรับการชมวิว และที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือการทานอาหารที่ ร้าน “The Jewel” ที่นอกจากอาหารจะอร่อยแล้ว ยังได้ชมวิวเมืองซัปโปโรแบบสุดลูกหูลูกตา
เวลาทำการ
เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 10.30 น. – 22.00 น.
ค่าเข้าชม
ไม่เสียค่าเข้าชม แต่เสียค่ากระเช้า และเคเบิ้ลคาร์ 1,700 เยน


▌15. Niseko ski resort, เมือง Niseko
เมืองสกีรีสอร์ท นิเซโกะ
photo by wakimasa From commons.wikimedia.org/wiki/File:Niseko_Mt.Resort_Grand_Hirafu.JPG ( cc by public domain )
เมืองนิเซโกะ เป็นเมืองในฮอกไกโดที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาอยู่อาศัยและมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่เหมาะสมกับการเล่นสกีมากที่สุด เนื่องจากมีปุยหิมะที่นุ่ม ถึงจะล้มก็ไม่เจ็บ ภายในเมืองมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก และมีบ่อน้ำร้อนที่สามารถใส่เสื้อผ้าลงแช่ได้ ภายในลานสกี มีรีสอร์ทสำหรับเข้าพักและให้เช่าอุปกรณ์การเล่นสกีถึง 4 ที่ โดยค่าเช่าอุปกรณ์นั้น อยู่ที่ราคาตั้งแต่ 3,000 – 8,000 เยน


▌16. Sapporo Beer Museum, เมือง Sapporo
Photo by Thomas Au from commons.wikimedia.org/wiki/File:麦とホップを製すれば_(4456936863).jpg [CC by-sa 2.0]
เชื่อว่าคอเบียร์หลายคนต้องคุ้นเคยกับ Supporo Beer ที่มีวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศไทย  แต่รู้หรือไม่ว่า เบียร์ยี่ห้อนี้เป็นเบียร์ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น และได้รับความนิยมมากที่สุดจนต้องมีการส่งออกไปขายทั่วโลก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดพิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโรขึ้น เพื่อบอกเล่าและแนะนำความเป็นมาของเบียร์ชนิดนี้ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษา เมื่อได้เยี่ยมชมจนครบแล้ว ก็จะมีเบียร์ให้ชิมฟรี ๆ กันไปเลย
เวลาทำการ
เปิดให้บริการวันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 11.30 น. – 20.00 น.
ค่าเข้าชม
ไม่เสียค่าเข้าชมใด ๆ ทั้งสิ้น


ทะเลสาบอะกัง
photos by 663highland from commons.wikimedia.org/wiki/File:Lake_Akan_Kushiro_Hokkaido_Japan03s3.jpg(cc by 3.0)
เป็นแอ่งทะเลสาบที่เกิดจากภูเขาไฟในพื้นที่อุทยานแห่งชาติอะกัง มีความยาวเส้นรอบวง 26 กิโลเมตรที่ล้อมรอบด้วยป่าทึบ และยังเป็นแหล่งกำเนิดของสาหร่ายมาริโมะ(marimo) ซึ่งเป็นสาหร่ายลูกบอลสีเขียวที่หาพบได้ยาก
การเดินทาง: ทะเลสาบอะกังตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ Kushiro ไปประมาณ 75 กิโลเมตร มีรถบัสบริการ 3-4 เที่ยวต่อวัน ระหว่างสนามบิน Kushiro Airport และทะเลสาบ
หรือเช่ารถยนต์ ใช้เวลา 90 นาที เดินทางถึงทะเลสาบอะกัง และใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงไปยังทะเลสาบอื่นๆในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เช่นทะเลสาบมาซู ทะเลสาบคุชชะโระ และคาวายุออนเซ็น



Photo by Kyosuke Nakamura from flickr.com/photos/kyosuke/33434629/ [CC by-sa 2.0]
photos by shirokazan from flickr.com/photos/shirokazan/3016047392( cc by 2.0 )
เป็นภูมิภาคที่สำคัญและภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี 2005 ที่ฮอกไกโดได้ถูกบันถึงให้เป็นมรดกโลก และยังเป็นแหล่งธรรมชาติที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เช่น แมวน้ำ หมี นกอินทรี หมาป่า และอื่นๆอีกมากมาย
การเดินทาง: จาก Bus Terminal เดินไปประมาณ 650 เมตรจะถึงอาคารจำหน่ายตั๋วฝั่งซ้ายมือ แล้วเดินลอดอุโมงค์ไปยังท่าเรืออีก 200 เมตร
เรือชมคาบสมุทรชิเรโทโกะออกจากอูโทโร่(Utoro) ท่าเรืออยู่หลังหินโอรอนโคอิวะ(Oronkoiwa Rock) ใกล้กับใจกลางเมือง



ร้านอร่อยแห่งซัปโปโร

TATSUMURA TONKATSU RESTAURANT (たづむら)

Cr. bumblebeemum.net
หลังจากนั่งเครื่องบินกว่า 6 ชั่วโมงครึ่งจากกรุงเทพฯ มาลงที่สนามบิน New Chitose จุดหมายปลายทางแรกของการ ทัวร์ฮอกไกโด แน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นเมืองซัปโปโร ซึ่งที่นี่มีร้าน อาหารขึ้นชื่อ ฮอกไกโด ตั้งอยู่บนชั้น 8 ภายในห้างไดมารูค่ะ อย่างร้านนี้ที่ชื่อว่า Tatsumaru Tonkatsu ซึ่งมีเมนูซิกเนเจอร์เป็น หมูทอดทงคัตสึ ชิ้นใหญ่ที่เสิร์ฟมาเป็นชุดพร้อมข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆ และทีเด็ดของที่นี่ก็คือซอสทงคัตสึที่เค้าจะให้เราบดงาด้วยตัวเอง อยากใส่มากใส่น้อยก็แล้วแต่ชอบเลยค่ะ เพราะฉะนั้นก้าวแรกที่เดินเข้าไปในร้านเนี่ย มันจะหอมกลิ่นงาคั่วมากๆ ส่วนรสชาติของอาหาร ที่นี่เค้าใช้หมูดำนำมาทอดให้กรอบนอกนุ่มใน ไม่อมน้ำมัน ทานกับซอสแล้วเข้ากันมากๆ ส่วนใครที่ไม่ชอบหมูที่นี่ก็มีของทอดเป็นอาหารทะเลต่างๆ ให้เลือกอีกด้วยนะคะ
Cr. tabelog.com
Cr. tabelog.com
เวลา เปิด-ปิด : 11.00-22.00 น. (ออเดอร์สุดท้ายเวลา 21.30 น.)
ราคาโดยประมาณ : 1,000 – 1,999 เยน
วิธีการเดินทาง : เดินตรงมาจากสถานีซัปโปโรประมาณ 5 นาที จะมองเห็นห้างไดมารู ร้านอาหารอยู่บนชั้น 8
แผนที่ :

KITA NO GOURMET TEI (海鮮食堂 北のグルメ亭)

Cr. bumblebeemum.net
ร้านที่สองนี้ตั้งอยู่ภายในตลาดปลาที่มีชื่อว่า ตลาดซัปโปโร โจไก ค่ะ โดยอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ ไคเซ็นด้ง หรือข้าวหน้าปลาดิบที่เสิร์ฟมาชามใหญ่พอๆ กับหน้าเราเลยล่ะ ซึ่งภายในชามไคเซ็นด้งของที่นี่ก็จะประกอบไปด้วยอาหารทะเลหลายอย่างทั้งแซลมอน ทูน่า ปลาโอ ปลาหมึก กุ้งหวาน ไข่แซลมอน ไข่หอยเม่น หอยปีกนก ฯลฯ ที่สำคัญยังสดใหม่ทุกวัน เพราะแต่ละร้านเค้าจะคัดเลือกวัตถุดิบสดๆ ที่ส่งตรงถึงตลาดตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นรสชาติอาหารทะเลของที่นี่จึงสดหวานอร่อยกว่าที่อื่น นอกจากเมนูไคเซ็นด้งแล้วก็ยังมีซาซิมิด้วยนะคะ ทั้งทูน่า ทั้งมากุโร่ และจูโทโร่ ที่กินเข้าไปเพียงคำเดียวก็ต้องคีบเข้าปากซ้ำเรื่อยๆ เพราะปลาของที่นี่สดจนแทบละลายในปากเลยล่ะ มา ทัวร์ฮอกไกโด ต้องแวะที่นี่นะคะ
Cr. sapporo.travel
Cr. bumblebeemum.net
เวลา เปิด-ปิด : 07.00-15.00 น. (ออเดอร์สุดท้ายเวลา 14.30 น.)
ราคาโดยประมาณ : 2,000 – 2,999 เยน
วิธีการเดินทาง : นั่งรถไฟไปลงที่สถานี JR Soen หรือ Nijuyonken Subway แล้วเดินต่ออีก 10 นาที
แผนที่ :

 ร้านอร่อยแห่งโอตารุ

MASAZUSHI (おたる政寿司 ぜん庵)

อาหารขึ้นชื่อ ฮอกไกโด
Cr. tabelog.com
มาเที่ยวโอตารุต้องได้ไปทาน ร้าน อาหารขึ้นชื่อ ฮอกไกโด ที่ร้าน Masazushi เลยค่ะ ที่นี่เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นประเภท ซูชิ ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในโอตารุ ความพิเศษของที่นี่คือเค้าจะเสิร์ฟซูชิที่ใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล ทำให้ลูกค้าได้ลิ้มลองรสชาติอาหารที่ดีที่สุดในฤดูกาลนั้นๆ และเมนูซิกเนเจอร์ของร้านที่ทุกโต๊ะต้องสั่งก็คือ Ika Somen หรือ ปลาหมึกแบบซาชิมิสไลด์บางๆ มาพร้อมกับไข่หอยเม่นและซอสไข่แบบพิเศษ เป็นจานที่เสิร์ฟเฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น โดยไข่หอยเม่นของที่นี่จะมาจากนอกชายฝั่ง Shakotan ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้ลูกค้าสามารถลิ้มชิมรสอันสดใหม่ของไข่หอยเม่นได้อย่างเต็มที่
Cr. tabelog.com
Cr. tabelog.com
เวลา เปิด-ปิด : วันธรรมดา 11.00-15.00, 17.00-21.30 น. / วันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-16.00, 17.00-21.30 น. ร้านหยุดทุกวันพุธ
ราคาโดยประมาณ : 3,000 – 5,999 เยน
วิธีการเดินทาง : Masazushi ตั้งอยู่ตรงข้ามคลอง Otaru อยู่ห่างจาก สถานี Otaru ประมาณ 15 นาที
แผนที่ :

 ร้านอร่อยแห่งคาบสมุทรชาโคตัน

SHOKUDOU MISAKI (お食事処 みさき)

Cr. facebook.com/syakotan.misaki
คาบสมุทรชาโคตันคือสถานที่ที่ ไข่หอยเม่น มีชื่อเสียงมากที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งหากใครที่เคยลิ้มลองไข่หอยเม่นมาก่อน และคิดว่ามันเหม็นคาวหรือไม่อร่อย แนะนำว่าให้มาลองไข่หอยเม่นของที่นี่เสียก่อน แล้วคุณจะลืมรสชาติเก่าๆ ที่เคยกินมาทันที โดยไข่หอยเม่นของที่นี่จะถูกจับขึ้นมาในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม และที่ร้าน SHOKUDOU MISAKI จะมีอาหารที่เป็นไฮไลท์ของร้าน นั่นคือ ไข่หอยเม่นสีเหลือง ที่เราพบเห็นโดยทั่วไป และ ไข่หอยเม่นสีแดง ที่หายาก ซึ่งมีรสหวานและรสชาติที่อร่อยกว่าหอยเม่นในแบบแรก
Cr. facebook.com/syakotan.misaki
Cr. facebook.com/syakotan.misaki
เวลา เปิด-ปิด : 09.45-16.00 น. (ออเดอร์สุดท้าย 15.45 น.) และปิดให้บริการทุกวันพุธในสัปดาห์ที่ 2 และ 4 ของเดือน โดยร้านจะเปิดให้บริการเฉพาะช่วงปลายเดือนเมษายนจนถึงสิ้นเดือนตุลาคมเท่านั้น ส่วนไข่หอยเม่นจะมีเสิร์ฟแค่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม
ราคาโดยประมาณ : 2,000 – 4,999 เยน
วิธีการเดินทาง : จากเมืองโอตารุ วิธีเดียวที่จะไปเยือนคาบสมุทรชาโคตันก็คือการเช่ารถขับไปเอง โดยใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมงในแต่ละเที่ยว
แผนที่ :

 ร้านอร่อยแห่งนิเซโกะ

NISEKO MILK KOBO PRATIVO (プラティーヴォ)

Cr. niseko-takahashi.jp
มากันที่ ร้าน อาหารขึ้นชื่อ ฮอกไกโด ในนิเซโกะกันบ้าง นิเซโกะได้ชื่อว่าเป็นสถานที่สำหรับเล่นสกีที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งในช่วงหน้าหนาวร้านอาหารยอดนิยมของที่นี่ก็คือ NISEKO MILK KOBO ที่นักท่องเที่ยวมักจะเลือกให้เป็นสถานที่หลบความหนาวเย็น ด้วยเหตุผลเพราะที่นี่ได้คงไว้ซึ่งเสน่ห์ของความเป็นญี่ปุ่นอย่างเต็มเปี่ยม นอกจากนั้นอาหารที่นี่ยังมีรสชาติดีและราคาไม่แพงด้วยค่ะ โดยในช่วงกลางวันที่นี่จะเสิร์ฟ อาหารในสไตล์กึ่งบุฟเฟ่ต์แบบตะวันตก ที่ในเซ็ตจะประกอบด้วยอาหารจานหลักหนึ่งจาน และสามารถทานสลัดและของหวานที่บาร์บุฟเฟ่ต์ได้แบบไม่อั้น
Cr. niseko-takahashi.jp
Cr. niseko-takahashi.jp
Cr. niseko-takahashi.jp
ส่วนตอนกลางคืนก็มีดินเนอร์หรูๆ ให้ไปลิ้มรสอาหารตะวันตก พร้อมจิบไวน์ชั้นดี โดยมีทั้งแบบชุดที่ทางร้านจัดไว้ให้ตั้งแต่ออเดิร์ฟไปจนถึงของหวาน คิดราคาต่อคน และแบบ a la carte สั่งเป็นจานเดี่ยวๆ ก็ได้ค่ะ แต่ละเมนูของเค้าน่าทานมากๆ และที่สำคัญคือราคาไม่แพงเลย อร่อยคุ้มแน่นอนค่ะ
Cr. niseko-takahashi.jp
เวลา เปิด-ปิด : มื้อกลางวัน (ให้บริการทุกวัน) 11.30-15.30 น. (ออเดอร์สุดท้าย 14.30 น.) / มื้อค่ำ (หยุดให้บริการวันอังคารและพุธ) 17.30-21.30 น. (ออเดอร์สุดท้ายเวลา 20.00 น.)
ราคาโดยประมาณ : 1,000 – 3,500 เยน
วิธีการเดินทาง : Niseko Milk Kobo จะตั้งอยู่บนเส้นทางที่รถบัส Niseko United Shuttle Bus ขับผ่าน
แผนที่ :

 ร้านอร่อยแห่งทะเลสาบโทยะ

SENDOAN  ในโซนร้านค้า WAKASAIMO (仙堂庵 わかさいも本舗)

Cr. bumblebeemum.net
Sendoan ตั้งอยู่บนชั้น 2 ของร้านค้าหลัก Wakasaimo บนแนวชายฝั่งทางตอนใต้ของทะเลสาบโทยะ ซึ่งเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในอาหารประเภท หอยโฮตาเตะ ที่ว่ากันว่าจะมีรสชาติดีที่สุดค่ะ โดยอาหารของที่นี่จะเสิร์ฟเป็นชุดใหญ่ ภายในชุดก็จะมีทั้งข้าวหน้าหอยโฮตาเตะสดๆ และซุปหอยรสเข้มข้น ส่วนใครที่ไม่ชอบกินอาหารประเภทของดิบๆ ที่นี่ก็มี อาหารญี่ปุ่น ชนิดอื่นๆ อย่างเช่น ข้าวแกงกะหรี่หมูทอด เทมปุระ ราเมน ฯลฯ บริการเช่นเดียวกันค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีแนะนำว่าควรลองชิมหอยโฮตาเตะสดๆ ของที่นี่ดูสักครั้ง แล้วคุณจะติดใจอย่างแน่นอน
Cr. bumblebeemum.net
Cr. bumblebeemum.net
เวลา เปิด-ปิด : 11.00-19.00 น. (ออเดอร์สุดท้ายเวลา 18.30 น.)
ราคาโดยประมาณ : 1,000 – 1,999 เยน
วิธีการเดินทาง : วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการไปทะเลสาบโทยะก็คือการเช่ารถขับ โดยใช้เวลาเดินทางจากซัปโปโรประมาณ 2.30 ชั่วโมง หรืออีกวิธีก็คือนั่งรถบัส Donan Bus เพื่อไปยัง Lake Toya Onsen Town จากเมืองซัปโปโรและสถานี Toya stations แต่รถบัสของที่นี่จะไม่ได้มีให้บริการอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นควรเช็คตารางเวลาให้ดีค่ะ
แผนที่ :

ร้านอร่อยแห่งอุทยานแห่งชาติโอนุมะ

NUMA NO YA (沼の家)

Cr. onuma-guide.com
มาแนะนำร้านขนมญี่ปุ่นกันบ้าง หากคุณกำลังนั่งรถไฟเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองฮาโกดาเตะ และพอจะมีเวลาสักหน่อย อยากให้แวะพักที่สถานีรถไฟ Onuma Koen สักครู่ เพราะที่ข้างๆ สถานีมีร้านขนมของฝากชื่อดัง ที่ชื่อว่า NUMA NO YA ซึ่งของอร่อยของร้านนี่ก็คือ ดังโงะแบบกล่อง ที่ภายในจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ครึ่งหนึ่งเป็น Mitarashi Dango หรือดังโงะราดซอสญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และอีกครึ่งจะเป็นดังโงะเคลือบรสชาติต่างๆ มีให้เลือกทั้งงาดำ และถั่วแดงค่ะ
Cr. onuma-guide.com
Cr. tabelog.com
เวลา เปิด-ปิด : 08.30-18.00 น. หรือจนกว่าจะขายหมด
ราคาโดยประมาณ : กล่องเล็ก 370 เยน, กล่องใหญ่ 620 เยน
วิธีการเดินทาง : ร้าน NUMA NO YA จะตั้งอยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ Onumakoen Station
แผนที่ :

 ร้านอร่อยแห่งฮาโกดาเตะ

HAKODATE MORNING MARKET

Cr. hakodate.travel
จุดที่ดีที่สุดสำหรับการ ทัวร์ฮอกไกโด หาอาหารอร่อยในฮาโกดาเดตะก็คือที่ตลาดเช้า Hakodate Morning Market นั่นเองค่ะ ซึ่งอาหารทะเลที่มีชื่อเสียงที่สุดของที่นี่ก็คือปลาหมึก โดยหลายๆ ร้านภายในตลาดเค้าจะมีอ่างน้ำขนาดใหญ่เพื่อให้เราตกปลาหมึกขึ้นมาเอง จากนั้นเค้าก็จะนำปลาหมึกที่เราจับได้ไปแล่บางๆ เพื่อทำซาซิมิให้ทานแบบสดๆ เลย และนอกจากจากปลาหมึกแล้ว อาหารอีกอย่างที่ต้องลองในตลาดเช้าแห่งนี้ก็คือ ปู โดยมีให้เลือกทั้งแบบย่าง นึ่ง หรือดิบๆ แบบซาซิมิด้วย ส่วนอาหารทะเลอื่นๆ ของที่นี่ที่น่าลองเช่นเดียวกัน ก็มีทั้งหอยเป๋าฮื้อ ไข่หอยเม่น เป็นต้น อ้อ.. ขนมและผลไม้ของที่นี่ก็ไม่ควรพลาดนะคะ
Cr. hakodate.travel
Cr. hakodate.travel
เวลา เปิด-ปิด : เดือนมกราคม-เมษายน 06.00-12.00 น. (บางร้านอาจเปิดจนถึง 14.00 น.) / เดือนพฤษภาคม-ธันวาคม 05.00-12.00 น. (บางร้านอาจเปิดถึง 15.00 น.)
ราคาโดยประมาณ : มีหลายระดับราคา
วิธีการเดินทาง : ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ Hakodate
แผนที่ :

 LUCKY PIERROT (ラッキーピエロ)

Cr. tabelog.com
สำหรับผู้ที่อยากลองเปลี่ยนจากอาหารญี่ปุ่น ลองมาที่ร้าน LUCKY PIERROT ดูค่ะ เพราะที่นี่จะให้บริการอาหารประเภท เบอร์เกอร์ ที่มีเฉพาะในฮาโกดาเตะเท่านั้น เพราะเบอร์เกอร์ของที่นี่จะเป็นเบอร์เกอร์หอยโฮตาเตะตัวใหญ่ รสชาตินุ่มลิ้นที่ถูกปากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยิ่งถ้าได้ทานคู่กับโซดาของทางร้านยิ่งอร่อยเข้ากันเป็นที่สุด นอกจากนี้ยังมีเมนูที่น่าสนใจอีกมากมาย ทั้งมันฝรั่งทอดหน้ากุ้ง หรือจะเมนูข้าวอย่างข้าวแกงกะหรี่ และข้าวห่อไข่ ก็มีนะคะ
Cr. bumblebeemum.net
Cr. tabelog.com
เวลา เปิด-ปิด : 10.00-00.30 น.
วิธีการเดินทาง : ร้าน Lucky Pierrot มีถึง 16 สาขาทั่วฮาโกดาเตะ สาขาที่เดินทางสะดวกที่สุดและนักท่องเที่ยวนิยมไปมากที่สุดก็คือ สาขาที่อยู่ใกล้ๆ กับเอ้าท์เลท โดยเดินจากสถานีรถไฟ Hakodate เพียง 5 นาที
แผนที่ :

 ร้านอร่อยแห่งฟุราโนะ

KUMAGERA (くまげら)

Cr. tabelog.com
Kumagera เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงซึ่งตั้งอยู่ภายในเมืองฟุราโนะ โดยเมนูชื่อดังของที่นี่ก็คือ หม้อไฟร้อนๆ ที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบสดใหม่ ทั้งเนื้อวัว ไก่ เป็ด และอาหารทะเลที่เหมาะที่จะกินเพื่อให้ความอบอุ่นในช่วงหน้าหนาว หรือในวันที่อากาศเย็นๆ ส่วนอาหารชนิดอื่นๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ซาซิมิเนื้อ ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ และโชยุผสมกับวาซาบิ รวมไปถึงหอยนางรมนึ่งสาเกญี่ปุ่น จานนี้ก็เด็ดไม่แพ้กันค่ะ
Cr. tabelog.com
Cr. tabelog.com
เวลา เปิด-ปิด : 11.30-00.00 น.
ราคาโดยประมาณ : 1,000 – 2,999 เยน
วิธีการเดินทาง : เดินเพียง 3 นาทีจากสถานีรถไฟ Furano
แผนที่ :

 ร้านอร่อยแห่งบิเอะ

FARM RESTAURANT CHIYODA (ファームレストラン千代田)

Cr. tabelog.com
มาที่อีกหนึ่งร้าน อาหารขึ้นชื่อ ฮอกไกโด ในเมืองบิเอะ นั่นก็คือ FARM RESTAURANT CHIYODA ภายในฟาร์มจิโยดะ ที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในช่วงฤดูร้อน โดยเมนูหลักของที่นี่จะเป็น เนื้อวัว เสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือสตูว์เนื้อวัวรสชาติเข้มข้มและหอมเครื่องเทศแบบสุดๆ ส่วนอีกจานที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือสเต๊กเนื้อบนจานร้อนนั่นเอง
Cr. tabelog.com
Cr. tabelog.com
เวลา เปิด-ปิด : เดือนมกราคม-มีนาคม 11.00-16.00 น. / เดือนเมษายน-ธันวาคม 11.00-20.00 น. ร้านวันที่ 31 ธันวาคม และ 1 มกราคม
ราคาโดยประมาณ : 3,000 – 3,999
วิธีการเดินทาง : การเดินทางที่สะดวกที่สุดคือการเช่ารถขับมาที่ฟาร์มค่ะ
แผนที่ :

 ร้านอร่อยในโอบิฮิโระ

PANCHOU (ぱんちょう)

Cr. tabelog.com
อาหารขึ้นชื่อ ฮอกไกโด ในเืองโอบิฮิโระ ที่ใครมาก็ต้องชิมให้ได้ก็คือ Buta Don หรือ ข้าวหน้าหมู นั่นเองค่ะ ซึ่งร้านแนะนำของที่นี่ก็คือ ร้าน PANCHOU ซึ่งในร้านมีเพียงเมนูเดียวก็คือ บูตะด้ง นี่แหละค่ะ ถึงแม้ว่าอาหารเมนูนี้จะมีให้ชิมแทบจะทุกเมืองทั่วฮอกไกโด แต่สิ่งที่ร้านนี้ภูมิใจนำเสนอนั่นก็คือ การเป็นร้านผู้บุกเบิกอาหารจานบูตะด้งแห่งแรกในเมืองโอบิฮิโระนั่นเอง โดยความพิเศษของบูตะด้งของร้านนี้ นั่นคือพวกเค้าจะไม่เลือกเฉพาะเนื้อเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งมาขายเท่านั้น แต่พวกเค้าจะใช้แทบทุกส่วนในหมูตัวหนึ่งมาทำอาหาร ซึ่งก็จะมีขนาดที่แตกต่างกันไปด้วย ตรงนี้ลูกค้าสามารถสั่งได้ค่ะว่าอยากได้ขนาดเท่าไหน ซึ่งเนื้อหมูของเค้าทำออกมาได้ดีเลย เนื้อให้รสสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำ เข้ากันได้ดีกับซอสรสหวานๆ และข้าวสวยที่เสิร์ฟให้อย่างไม่อั้น
640x640_rect_31867218
Cr: tabelog.com
เวลา เปิด-ปิด : 11.00-19.00 น. (หรือจนกว่าจะขายหมด เพราะฉะนั้นลูกค้าควรรีบไปตั้งแต่เนิ่นๆ ค่ะ เพราะอาหารของที่นี่จะขายหมดเร็วมาก) ร้านจะปิดทุกวันจันทร์ในสัปดาห์ที่ 1 และวันอังคารที่ 3 ของเดือน
ราคาโดยประมาณ : 1,000 – 1,999 เยน
วิธีการเดินทาง : เดิน 5 นาที จากสถานีรถไฟ Obihiro
แผนที่ :

 ร้านอร่อยในคุชิโระ

WASHO MARKET (釧路和商市場)

Cr. tabelog.com
Kushiro ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของเกาะฮอกไกโด ซึ่งง่ายต่อการเข้าถึงอาหารทะเลที่สดใหม่ ดังนั้นตลาด Kushiro Washo Market จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ในการมาค้นหาอาหารทะเลสดๆ ทานในฮอกไกโด โดยเมนูที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในตลาดแห่งนี้ก็คือ คัตเตะด้ง หรือข้าวหน้าทะเลที่นักท่องเที่ยวสามารถคัดเลือกวัตถุดิบที่คุณต้องการลิ้มรสลงในชามข้าวได้ด้วยตัวเอง จากนั้นก็ให้แม่ค้านำสิ่งที่คุณต้องการมาจัดเรียงอย่างสวยงามลงในชามข้าว ปิดท้ายด้วยการราดโชยุลงไปอีกนิด และวางวาซาบิลงไปอีกหน่อย แค่นี้ก็พร้อมทานแล้วล่ะค่ะ
Cr. tabelog.com