วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

การนั่งรถในไฟใน '' โตเกียว ''

ตั๋วรถไฟสามารถซื้อได้ที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติที่ตั้งอยู่ใกล้กับช่องเข้าออกทุกสถานี รองรับภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศอื่นๆ อาทิ ภาษาจีน ภาษาเกาหลี ตั๋วเที่ยวเดียวระยะทางยาวราคา 1,620 เยน หรือตั๋วแบบระบุที่นั่ง ตั๋วด่วนพิเศษอื่นๆ นอกจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ ยังสามารถซื้อได้ที่ “มิโดริ ทิคเก็ตเซ็นเตอร์” และ “วิว พลาซ่า” ซึ่งที่ “มิโดริ ทิคเก็ตเซ็นเตอร์” และ “วิว พลาซ่า” นอกจากตั๋วรถไฟสาย JR ยังสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ เรือ บัสทางไกล และตั๋วพิพิธภัณฑ์ รวมถึงรับชำระด้วยบัตรเครดิตด้วย

“เครื่องจำหน่ายตั๋ว”

ผู้ที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นสามารถซื้อตั๋วได้อย่างง่ายดายจากเครื่องจำหน่ายตั๋วหน้าจอสัมผัสซึ่งเลือกให้แสดงรายการเป็นภาษาอังกฤษได้ เครื่องส่วนใหญ่รับธนบัตรใบละ 1,000 เยน แต่บางเครื่องรับธนบัตร 5,000 เยนและ 10,000 เยนได้ด้วย ผู้ซื้อจึงไม่ต้องแลกเงินล่วงหน้าเพื่อมาซื้อตั๋วจากเครื่องนี้ เครื่องจำหน่ายตั๋วไม่รับเหรียญที่มูลค่าน้อยกว่า 10 เยน

  • 1. เครื่องจำหน่ายตั๋วติดตั้งตรงข้ามหรือข้างประตูเข้าชานชาลา ขั้นตอนแรก ตรวจสอบค่าโดยสารสำหรับจุดหมายปลายทางของคุณจากตารางค่าโดยสารหรือแผนที่เส้นทางที่ติดอยู่เหนือตัวเครื่อง
  • 2. ใส่เงินตามจำนวนที่ระบุเข้าไปในเครื่องแล้วกดปุ่มที่ระบุไว้ ถ้าเป็นเครื่องที่มีหน้าจอสัมผัส จะต้องกดค่าโดยสารก่อนแล้วจึงใส่เงินเข้าไป (จอสัมผัสจะใส่เหรียญได้ครั้งละ 6 เหรียญ แต่ใส่ธนบัตรได้ครั้งละ 1 ใบ บางเครื่องไม่รับธนบัตรที่ยับ จึงควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าธนบัตรอยู่ในสภาพดี)
  • 3.  หลังจากได้รับตั๋วและเงินทอนเรียบร้อยแล้ว ก็ไปยังช่องตรวจตั๋วกันเลย
  • “ห้องจำหน่ายตั๋ว” หรือ “วิวพลาซ่า”

    เวลาซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูงชิงคันเซ็นหรือตั๋วรถบัสทางไกล คุณสามารถไปที่เคาน์เตอร์ที่ว่างเพื่อให้เจ้าหน้าที่จัดการให้ได้ แต่การซื้อตั๋วสำหรับรถนอน รถด่วนพิเศษ หรือตั๋วแบบสำรองที่นั่งบางชนิดจะต้องกรอกแบบฟอร์มล่วงหน้า ถ้าไม่เข้าใจวิธีการซื้อ ให้คุณอธิบายจุดหมายปลายทางและเส้นทางที่ต้องการไปแก่เจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์เพื่อสอบถามวิธีซื้อตั๋ว
  • ประตูตรวจตั๋วอัตโนมัติ
    • 1. ในปัจจุบันตามสถานีภายในเมืองส่วนใหญ่จะมีเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติให้บริการ ตั๋วที่มีแถบแม่เหล็กด้านหลังสีดำหรือสีน้ำตาล สามารถเสียบผ่านเข้าที่เครื่องตรวจตั๋วตรวจตรงช่องทางเข้าที่ตั้งอยู่ทางขวามือได้เลย เมื่อผ่านช่องทางเข้าตั๋วที่เสียบเข้าไปเมื่อสักครู่จะออกมาทางอีกฝั่งของเครื่องตรวจตั๋ว ให้หยิบตั๋วติดตัวไปด้วยเพื่อใช้ตอนออกจากสถานี จึงควรเก็บรักษาไม่ให้พับ หักหรืองอ
    • 2. เมื่อจะออกจากสถานีจุดหมาย ตั๋วจะถูกเก็บที่เครื่องตรวจตั๋วเลย หากลงเลยจากสถานีปลายทางที่ซื้อตั๋วไว้ เมื่อเสียบตั๋วที่เครื่องตรวจตั๋วจะมีเสียงเตือนและไม่ให้เดินผ่าน ให้รับตั๋วอีกครั้ง เดินไปที่เครื่องปรับตั๋วอัตโนมัติภายในใกล้กับช่องทางออกเพื่อชำระค่าโดยสารที่ขาดไป รับตั๋วที่ออกมาแล้วไปยังเครื่องตรวจตั๋ว หรือชำระส่วนที่ขาดที่ช่องเจ้าหน้าที่สถานีบริเวณใกล้กับช่องทางออก จึงจะสามารถผ่านออกมาได้
    • ระบบค่าโดยสาร

      นอกจากตั๋วเดินทางเที่ยวเดียวแบบปกติแล้ว ยังมีตั๋วด่วนพิเศษ และตั๋วนอนอีกด้วย ทั้งนี้การใช้ตั๋วด่วนพิเศษและตั๋วนอนในการเดินทางด้วยรถไฟเอกชนและรถไฟใต้ดินในโตเกียว อาจไม่มียกเว้นข้อบางกรณี (การใช้บริการโรมานซ์คาร์สายโอดะคิวไลน์ของรถไฟเอกชน จำเป็นต้องมีตั๋วด่วนพิเศษ) ในโตเกียวมีผู้ให้บริการรถไฟหลายสายอาทิ สาย JR สายเกียวเมโทร สารโทเออิ และอื่นๆ แต่จะขอแนะนำราคาค่าโดยสารสาย JR เนื่องจากน่าจะมีการใช้บริการมากกว่า
    • ตั๋วรถด่วนพิเศษ

      การขึ้นรถไฟด่วนพิเศษที่ดำเนินการโดย JR รวมถึงรถไฟความเร็วสูงชิงคันเซ็น จะต้องใช้ตั๋วรถด่วนพิเศษ ตั๋วโดยสารจะต้องซื้อแยกต่างหากจากตั๋วรถด่วนพิเศษ ราคาตั๋วรถด่วนพิเศษจะแตกต่างไปตามฤดูกาล เช่น ในช่วงที่มีการเดินทางมากตอนสิ้นปีและฤดูท่องเที่ยวในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ผลิ ค่าโดยสารจะเพิ่มขึ้น 200 เยน แต่ช่วงที่การเดินทางไม่มากค่าโดยสารจะลดลง 200 เยน รถไฟชิงคันเซ็นมีที่นั่ง 3 แบบ คือ ที่นั่งแบบไม่ได้สำรองที่นั่ง ที่นั่งแบบสำรองที่นั่ง และที่นั่งในกรีนคาร์ (ดูคำอธิบายด้านล่าง) ที่นั่งแบบไม่ได้สำรองที่นั่งจะต้องใช้ทั้งตั๋วโดยสารและตั๋วรถด่วนพิเศษ ส่วนที่นั่งแบบสำรองที่นั่ง นอกจากค่าตั๋วโดยสารและตั๋วรถด่วนพิเศษแล้ว จะต้องชำระค่าเลือกที่นั่ง (520 เยน) เพิ่มด้วย ในช่วงที่มีการเดินทางมาก ตู้ที่เป็นที่นั่งแบบไม่สำรองที่นั่งมักจะเต็มจนต้องยืน
    • ตั๋วกรีนคาร์

      ที่นั่งในรถไฟบางขบวนจะมี 2 ตู้ ที่มีที่นั่งกว้างและสบายกว่าที่นั่งในตู้ธรรมดา ตู้แบบนี้เรียกว่ากรีนคาร์ เนื่องจากที่นั่งในกรีนคาร์จะต้องสำรองที่นั่ง คุณจะต้องชำระค่าตั๋วกรีนคาร์เพิ่มเติมจากค่าตั๋วโดยสารก่อนขึ้นรถไฟ ตั๋วกรีนคาร์ซื้อได้ที่ “ห้องจำหน่ายตั๋ว” และสถานที่อื่นๆ บางแห่ง
    • ตั๋วคูปอง

      หากเดินทางไปยังสถานที่เดียวบ่อยครั้ง ในราคาเดียวกัน ขอแนะนำตั๋วไปกลับหลายเที่ยวที่สามารถเดินทางได้ 11 เที่ยวในราคาเท่ากับแบบปกติ10 เที่ยว สามารถซื้อได้ที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมติและมิโดริทิคเก็ตเซ็นเตอร์
    • ค่าโดยสารสำหรับเด็ก

      ราคาค่าโดยสารสำหรับเด็กทั้งตั๋วรถไฟ ตั๋วด่วนพิเศษ ตั๋วระบุที่นั่งจะเป็นครึ่งหนึ่งของราคาผู้ใหญ่ ซึ่งอายุสูงสุดของเด็กที่จะใช้บริการตั๋วราคาเด็กได้คือ 11 ปี ทั้งนี้ตั๋วกรีนจะราคาเท่ากับผู้ใหญ่ ตั๋วโดยสารราคาเด็ก สามารถกดเลือก “ปุ่มราคาเด็ก” ได้เมื่อซื้อต๋วที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ หรือแจ้งที่ “มิโดริทิคเก็ตเซ็นเตอร์” หลังจากนั้นวิธีการซื้อจะเหมือนกับของผู้ใหญ่
    • ค่าโดยสารสำหรับเด็ก

      ราคาค่าโดยสารสำหรับเด็กทั้งตั๋วรถไฟ ตั๋วด่วนพิเศษ ตั๋วระบุที่นั่งจะเป็นครึ่งหนึ่งของราคาผู้ใหญ่ ซึ่งอายุสูงสุดของเด็กที่จะใช้บริการตั๋วราคาเด็กได้คือ 11 ปี ทั้งนี้ตั๋วกรีนจะราคาเท่ากับผู้ใหญ่ ตั๋วโดยสารราคาเด็ก สามารถกดเลือก “ปุ่มราคาเด็ก” ได้เมื่อซื้อต๋วที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ หรือแจ้งที่ “มิโดริทิคเก็ตเซ็นเตอร์” หลังจากนั้นวิธีการซื้อจะเหมือนกับของผู้ใหญ่

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประวัติผู้คิดค้นการบ้านที่แสนจะน่าเบื่ออออ T^T

ตอนเด็กๆ แน่นอนเลยว่าสมัยเรียนทุกคนต้องมี "การบ้าน" ซึ่งบ้างคนก็มักจะลอกเพื่นอยู่เป็นประจำ เป็นเรื่องที่ปวดหัวมากกับการบ้านที่คุณครูสั่งแทบทุกวิชา แถมต้องส่งวันเดียวกันอีก แล้วคุณเคยสงสัยมั๊ยว่าใครคือผู้คิดค้นการบ้านขึ้นมา วันนี้เราหาคำตอบมาบอกคุณแล้ว นั้นคือ นาย "Roberto Nevilis" ซึ่งต้องย้อนไปในปี คศ. 1095 ณ เมือง Venice ประเทศฝรั่งเศส เขาต้องการให้นักเรียนมีผลการเรียนดี-เข้าใจถึงเนื้อหาที่สอนได้อย่างลึกซึ้ง จึงเป็นที่มาของ "การบ้าน" ถึงปัจจุบันนี้



วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

อาณาจักรสุโขทัย หัวใจญี่ปุ่นนน // ผิดล้ะคร่าลูกกก

อาณาจักรสุโขทัย หรือ รัฐสุโขทัย (อังกฤษKingdom of Sukhothai) เป็นอาณาจักร หรือรัฐในอดีตรัฐหนึ่ง ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำยม เป็นชุมชนโบราณมาตั้งแต่ยุคเหล็กตอนปลาย จนกระทั่งสถาปนาขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในฐานะสถานีการค้าของรัฐละโว้ หลังจากนั้นราวปี 1800พ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมือง ได้ร่วมกันกระทำการยึดอำนาจจากขอมสบาดโขลญลำพง ซึ่งทำการเป็นผลสำเร็จและได้สถาปนาเอกราชให้สุโขทัยเป็นรัฐอิสระ และมีความเจริญรุ่งเรืองตามลำดับและเพิ่มถึงขีดสุดในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ก่อนจะค่อย ๆ ตกต่ำ และประสบปัญหาทั้งจากปัญหาภายนอกและภายใน จนต่อมาถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาไปในที่สุด

ที่ตั้งและอาณาเขต[แก้]

ที่ตั้งของเมืองต่างๆ

อาณาจักรสุโขทัย ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าผ่านคาบสมุทรระหว่างอ่าวเมาะตะมะ และที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง มีอาณาเขตดังนี้[1]
  1. ทิศเหนือ มีเมืองแพล (ปัจจุบันคือแพร่) เป็นเมืองปลายแดนด้านเหนือสุด
  2. ทิศใต้ มีเมืองพระบาง (ปัจจุบันคือนครสวรรค์) เป็นเมืองปลายแดนด้านใต้
  3. ทิศตะวันตก มีเมืองฉอด (ปัจจุบันคือแม่สอด) เป็นเมืองชายแดนที่จะติดต่อเข้าไปยังอาณาจักรมอญ
  4. ทิศตะวันออก มีเมืองสะค้าใกล้แม่น้ำโขงในเขตภาคอีสานตอนเหนือ

การแทรกแซงจากอยุธยา[แก้]

ThaiHistory Placide CarteDuRoyaumeDeSiam.png
ThaiHistory SiamPlacide.jpg
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
บ้านเชียง ประมาณ 2500 ปีก่อน พ.ศ.
บ้านเก่า ประมาณ 2000 ปีก่อน พ.ศ.
ยุคอาณาจักร
สุวรรณภูมิ
ก่อนพุทธศตวรรษที่ 3- พุทธศตวรรษที่ 5
โจฬะ
พุทธศตวรรษที่ 2-17
สุวรรณโคมคำ
พุทธศตวรรษที่ 4-5
ทวารวดี-นครชัยศรี-ศรีจนาศะ
ประมาณ พุทธศตวรรษที่ 5-15
โยนกนาคพันธุ์
พ.ศ. 638-1088
คันธุลี
พ.ศ. 994-1202
 เวียงปรึกษา
1090-1181
ศรีวิชัย
พ.ศ. 1202-1758
 ละโว้
1191 -1470
หิรัญเงินยางฯ
1181 - 1805
 หริภุญชัย
1206-1835
 
สงครามสามนคร พ.ศ. 1467-1470
 สุพรรณภูมิ
ละโว้
ตามพรลิงค์
ลังกาสุกะ
 
พริบพรี
นครศรีธรรมราช
 สุโขทัย
1792-1981
พะเยา
1190-2011
เชียงราย
1805-1835
ล้านนา
1835-2101
อยุธยา (1)
พ.ศ. 1893-2112 
  สค.ตะเบ็งชเวตี้ 
  สค.ช้างเผือก
  เสียกรุงครั้งที่ 1
   พ.ศ. 2112
พิษณุโลก
2106-2112
ล้านนาของพม่า
2101-2317
  แคว้นล้านนา
  แคว้นเชียงใหม่
กรุงศรีอยุธยา (2)
พ.ศ. 2112-2310
เสียกรุงครั้งที่ 2
สภาพจลาจล
กรุงธนบุรี
พ.ศ. 2310-2325
ล้านนาของสยาม
2317-2442
  นครเชียงใหม่
  
  
กรุงรัตนโกสินทร์
พ.ศ. 2325-ปัจจุบัน
  สงครามเก้าทัพ
  อานามสยามยุทธ
  การเสียดินแดน
  มณฑลเทศาภิบาล
  สงครามโลก: ครั้งที่ 1 - ครั้งที่ 2
 
ยุครัฐประชาชาติ
ประเทศไทย
  ปฏิวัติ พ.ศ. 2475
  เปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ
  พ.ศ. 2475–2516
  พ.ศ. 2516–ปัจจุบัน
สหรัฐไทยเดิม
พ.ศ. 2485-2489
 
จัดการ: แม่แบบ  พูดคุย  แก้ไข
หลังจากพ่อขุนรามคำแหงแล้ว เมืองต่างๆเริ่มอ่อนแอลงเมือง ส่งผลให้ในรัชกาลพญาเลอไท และรัชกาลพญาไสลือไท ต้องส่งกองทัพไปปราบหลายครั้งแต่มักไม่เป็นผลสำเร็จ และการปรากฏตัวขึ้นของอาณาจักรอยุธยาทางตอนใต้ซึ่งกระทบกระเทือนเสถียรภาพของสุโขทัยจนในท้ายที่สุดก็ถูกแทรกแทรงจากอยุธยา จนมีฐานะเป็นหัวเมืองของอยุธยาไปในที่สุด โดยมี พระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) เป็นผู้ปกครองสุโขทัยในฐานะรัฐอิสระพระองค์สุดท้าย โดยขณะนั้น ด้วยการแทรกแซงของอยุธยา รัฐสุโขทัยจึงถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ
  • เมืองสรวงสองแคว (พิษณุโลก) อันเป็นเมืองเอก มีพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) เป็นผู้ปกครอง
  • เมืองสุโขทัย เมืองรอง มี พระยาราม เป็นผู้ปกครองเมือง
  • เมืองเชลียง (ศรีสัชนาลัย) มี พระยาเชลียง เป็นผู้ปกครองเมือง
  • เมืองชากังราว (กำแพงเพชร) มี พระยาแสนสอยดาว เป็นผู้ปกครองเมือง
หลังสิ้นรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมบาล) พระยายุทธิษฐิระซึ่งเดิมทีอยู่ศรีสัชนาลัย ได้เข้ามาครองเมืองสองแคว (พิษณุโลก) และเมื่อแรกที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จขึ้นผ่านพิภพ เป็นพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่าขณะนั้น พระยายุทธิษฐิระ เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ได้เพียงตำแหน่งพระยาสองแคว เนื่องด้วย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเคยดำริไว้สมัยทรงพระเยาว์ว่า หากได้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ จะชุบเลี้ยงพระยายุทธิษฐิระให้ได้เป็นพระร่วงเจ้าสุโขทัย พ.ศ. 2011 พระยายุทธิษฐิระจึงเอาใจออกห่างจากสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ไปขึ้นกับ พระยาติโลกราช กษัตริย์ล้านนาในขณะนั้น เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการเฉลิมพระนามกษัตริย์ล้านนา จากพระยา เป็น พระเจ้า เพื่อให้เสมอศักดิ์ด้วยกรุงศรีอยุธยา พระนามพระยาติโลกราช จึงได้รับการเฉลิมเป็นพระเจ้าติโลกราช
หลังจากที่พระยายุทธิษฐิระ นำสุโขทัยออกจากอยุธยาไปขึ้นกับล้านนา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงเสด็จจากกรุงศรีอยุธยา กลับมาพำนัก ณ เมืองสรลวงสองแคว พร้อมทั้งสร้างกำแพงและค่ายคู ประตู หอรบ แล้วจึงสถาปนาขึ้นเป็นเมือง พระพิษณุโลกสองแคว เป็นราชธานีฝ่ายเหนือของอาณาจักรแทนสุโขทัย ในเวลาเจ็ดปีให้หลัง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงทรงตีเอาสุโขทัยคืนได้ แต่เหตุการณ์ทางเมืองเหนือยังไม่เข้าสู่ภาวะที่น่าไว้วางใจ จึงทรงตัดสินพระทัยพำนักยังนครพระพิษณุโลกสองแควต่อจนสิ้นรัชกาล ส่วนทางอยุธยานั้น ทรงได้สถาปนาสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พระราชโอรส เป็นพระมหาอุปราช ดูแลอยุธยาและหัวเมืองฝ่ายใต้
ด้วยความที่เป็นคนละประเทศมาก่อน และมีสงครามอยู่ด้วยกัน ชาวบ้านระหว่างสุโขทัยและอยุธยา จึงมิได้ปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จึงต้องแยกปกครอง โดยพระมหากษัตริย์อยุธยา จะทรงสถาปนาพระราชโอรส หรือพระอนุชา หรือพระญาติ อันมีเชื้อสายสุโขทัย ปกครองพิษณุโลกในฐานะราชธานีฝ่ายเหนือ และควบคุมหัวเมืองเหนือทั้งหมด

การสิ้นสุดของของอาณาจักรสุโขทัย[แก้]

พ.ศ. 2127 หลังจากชนะศึกที่แม่น้ำสะโตงแล้ว พระนเรศวรโปรดให้เทครัวเมืองเหนือทั้งปวง (เมืองพระพิษณุโลกสองแคว เมืองสุโขทัย เมืองพิชัยเมืองสวรรคโลก เมืองกำแพงเพชร เมืองพิจิตร และเมืองพระบาง [2]) ลงมาไว้ที่อยุธยา เพื่อเตรียมรับศึกใหญ่ พิษณุโลกและหัวเมืองเหนือทั้งหมดจึงกลายเป็นเมืองร้าง หลังจากเทครัวไปเมืองใต้ จึงสิ้นสุดการแบ่งแยกระหว่างชาวเมืองเหนือ กับชาวเมืองใต้ และถือเป็นการสิ้นสุดของรัฐสุโขทัยโดยสมบูรณ์ เพราะหลังจากนี้ 8 ปี พิษณุโลกได้ถูกฟื้นฟูอีกครั้ง แต่ถือเป็นเมืองเอกในราชอาณาจักร มิใช่ราชธานีฝ่ายเหนือ
ในด้านวิชาการ มีนักวิชาการหลายท่านได้เสนอเพิ่มว่า เหตุการณ์อีกประการ อันทำให้ต้องเทครัวเมืองเหนือทั้งปวงโดยเฉพาะพิษณุโลกนั้น อยู่ที่เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ บนรอยเลื่อนวังเจ้า ในราวพุทธศักราช 2127 แผ่นดินไหวครั้งนี้ส่งผลให้ตัวเมืองพิษณุโลกราพณาสูญ แม้แต่แม่น้ำแควน้อยก็เปลี่ยนเส้นทางไม่ผ่านเมืองพิษณุโลก แต่ไปบรรจบกับแม่น้ำโพ (ปัจจุบันคือแม่น้ำน่าน) ที่เหนือเมืองพิษณุโลกขึ้นไป และยังส่งผลให้พระศรีรัตนมหาธาตุพิษณุโลก หักพังทลายในลักษณะที่บูรณะคืนได้ยาก ในการฟื้นฟูจึงกลายเป็นการสร้างพระปรางค์แบบอยุธยาครอบทับลงไปแทน ทั้งหมด

ความเจริญรุ่งเรือง[แก้]

ด้านเศรษฐกิจ[แก้]

สภาพเศรษฐกิจสมัยสุโขทัยเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ดังข้อความปรากฏในหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 "…ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้า ทองค้า " และ "...เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลาในนามีข้าว..." ประชาชนประกอบอาชีพเกษตรกรรมด้วยระบบการเกษตรแบบพึ่งพาธรรมชาติ เช่นสังคมไทยส่วนใหญ่ในชนบทปัจจุบัน และ ส่งออกเครื่องถ้วยชามสังคโลก.

ด้านสังคมและศาสนา[แก้]

การใช้ชีวิตของผู้คนในสมัยสุโขทัยมีความอิสรเสรี มีเสรีภาพอย่างมากเนื่องจากผู้ปกครองรัฐให้อิสระแก่ไพร่ฟ้า และปกครองผู้ใต้ปกครองแบบพ่อกับลูก ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกว่า "…ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื่อน เสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื่อน เลื่อน…"
ด้านความเชื่อและศาสนา สังคมยุคสุโขทัยประชาชนมีความเชื่อทั้งเรื่องวิญญาณนิยม (Animism) ไสยศาสตร์ ศาสนาพราหมณ์ฮินดู และพุทธศาสนา ดังปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ 1 ด้านที่ 3 ว่า "…เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้มีกุฎิวิหารปู่ครูอยู่ มีสรีดพงส์ มีป่าพร้าว ป่าลาง ป่าม่วง ป่าขาม มีน้ำโคก มีพระขระพุงผี เทพยาดาในเขาอันนั้นเป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ว ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยว เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอันนั้นบ่คุ้มบ่เกรง เมืองนี้หาย…"
ส่วนด้านศาสนา ได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์จากนครศรีธรรมราช ในวันพระ จะมีภิกษุเทศนาสั่งสอน ณ ลานธรรมในสวนตาล โดยใช้พระแท่นมนังคศิลาอาสน์ เป็นอาสนะสงฆ์ ในการบรรยายธรรมให้ประชาชนฟัง ยังผลให้ประชาชนในยุคนี้นิยมปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม มีการถือศีล โอยทานกันเป็นปกติวิสัย ทำให้สังคมโดยรวมมีความสงบสุขร่มเย็น

ด้านการปกครอง[แก้]

อาณาจักรสุโขทัยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ระยะ
1.แบบพ่อปกครองลูก
ในระยะแรกสุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก พระมหากษัตริย์เรียกว่า "พ่อขุน" ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อที่จะต้องดูแลคุ้มครองลูก ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช โปรดให้สร้างกระดิ่งแขวนไว้ที่หน้าประตูพระราชวัง เมื่อประชาชนมีเรื่องเดือดร้อนก็ให้ไปสั่นกระดิ่งร้องเรียน พระองค์ก็จะเสด็จมารับเรื่องราวร้องทุกข์ และโปรดให้สร้างพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ได้กลางดงตาล ในวันพระจะนิมนต์พระสงฆ์มาเทศน์สั่งสอนประชาชน หากเป็นวันธรรมดาพระองค์จะเสด็จออกให้ประชาชนเข้าเฝ้าและตัดสินคดีความด้วยพระองค์เอง การปกครองแบบนี้ปรากฏในสมัยกรุงสุโขทัยตอนต้น
2.แบบธรรมราชา
การปกครองแบบธรรมราชา หมายถึง พระมหากษัตริย์ผู้ทรงธรรม ในสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ มีกำลังทหารที่ไม่เข้มแข็ง ประกอบกับอาณาจักรอยุธยาที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ได้แผ่อิทธิพลมากขึ้น พระองค์ทรงเกรงภัยอันตรายจะบังเกิดแก่อาณาจักรสุโขทัย หากใช้กำลังทหารเพียงอย่างเดียว พระองค์จึงทรงนำหลักธรรมมาใช้ในการปกครอง โดยพระองค์ทรงเป็น แบบอย่างในด้านการปฏิบัติธรรม ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา นอกจากนั้นพระมหาธรรมราชาที่ ๑ ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ที่ปรากฏแนวคิดแบบธรรมราชาไว้ด้วย การปกครองแบบนี้ใช้ในสมัยกรุงสุโขทัยตอนปลาย ตั้งแต่พระมหาธรรมราชาที่ ๑ - ๔
ด้านการปกครองส่วนย่อยสามารถแยกกล่าวเป็น 2 แนว ดังนี้
ในแนวราบ
จัดการปกครองแบบพ่อปกครองลูก กล่าวคือผู้ปกครองจะมีความใกล้ชิดกับประชาชน ให้ความเป็นกันเองและความยุติธรรมกับประชาชนเป็นอย่างมาก เมื่อประชาชนเกิดความเดือดร้อนไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนกับพ่อขุนโดยตรงได้ โดยไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้ที่หน้าประตูที่ประทับ ดังข้อความในศิลาจารึกปรากฏว่า "…ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งไว้ให้ ไพร่ฟ้าหน้าใส…" นั่นคือเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถมาสั่นกระดิ่งเพื่อแจ้งข้อร้องเรียนได้
ในแนวดิ่ง
ได้มีการจัดระบบการปกครองขึ้นเป็น 4 ชนชั้น คือ