วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พฤติกรรมที่ พ่อ หรือ แม่ กระทำเเล้วลูกรู้สึก ไม่โอเค

 1. แสดงพฤติกรรมไม่ดีให้ลูกเห็น

          คุณอย่าลืมนะว่าตอนนี้คุณเป็นแม่คนแล้ว และตอนนี้ก็มีลูก ๆ ของคุณอาศัยอยู่ในบ้านด้วย ดังนั้นถ้าลูกของคุณมาเห็นพฤติกรรมที่ไม่ดีของคุณเข้า พวกเขาก็อาจจะเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่ดีของคุณไปก็ได้ ฉะนั้นคุณควรระมัดระวังคำพูดและพฤติกรรมการแสดงออกของคุณให้มาก ไม่ว่าคุณจะอยู่ต่อหน้าลูก หรือลับหลังลูกของคุณก็ตาม

 2. เข้มงวดกับลูกเกินไป

          อะไรที่เกินไป ผลที่ตามมามักจะไม่ดีเสมอ และการเลี้ยงดูลูกก็เช่นกัน ถ้าหากคุณเข้มงวดกับลูกมากเกินไป ก็จะทำให้ลูกกลายเป็นขี้กลัว และไม่กล้าตัดสินใจอะไรเอง ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ลูกของคุณกลายเป็นเด็กมีปัญหาเมื่อโตขึ้น ก็ลองปล่อยเขาให้ตัดสินใจ หรือทำอะไรด้วยตัวเองบ้างนะคะ

 3. ปล่อยลูกมากเกินไป

          ไม่ว่าลูกของคุณจะทำอะไร ทั้งที่คุณก็รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี คุณเองกลับไม่เคยสั่งสอน หรือบอกอะไรกับลูกของคุณเลย แต่ปล่อยให้เขาทำผิดไปเรื่อย ๆ แบบนั้น โดยคิดว่าสักวันลูกคงจะดีขึ้นเอง ซึ่งถ้าหากคุณคิดแบบนี้อยู่ล่ะก็ ลองกลับมาคิดใหม่อีกทีนะคะ เพราะว่าลูกของคุณยังไม่สามารถแยกแยะด้วยตัวเองได้ ฉะนั้นถ้าคุณอยากจะให้ลูกของคุณรู้จักแยกแยะสิ่งดีกับสิ่งไม่ดีล่ะก็ ก็ควรเริ่มสอนเขาซะตั้งแต่ตอนนี้เลย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ 

 4. พูดมากเกินไป 

          คุณแม่อาจจะมีเหตุผลมากมายร้อยแปด เพื่ออธิบายให้ลูกคุณฟัง แต่คุณก็ควรทำความเข้าใจด้วยนะคะว่า ลูก ๆ ไม่ชอบฟังอะไรยาว ๆ และเข้าใจยากกันหรอก ฉะนั้นถ้าคุณอยากให้ลูกฟัง สิ่งที่คุณต้องการจะสอน ก็ควรหาคำพูดสั้น ๆ กระชับและเข้าใจง่าย เอาไว้อธิบายให้ลูกฟังดีกว่า

 5. ลงโทษลูกหนักเกินไป

          การลงโทษลูกเมื่อลูกทำผิดนั้น ก็เป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่คุณควรลงโทษให้เหมาะสมกับความผิดของเขาด้วย เช่น ถ้าเขาทำผิดเพราะเขาไม่รู้ ก็ควรตักเตือนกันเสียก่อน แต่ถ้าคุณบอกไปแล้ว แต่ลูกของคุณยังทำผิดอยู่ คุณก็สามารถลงโทษได้ตามความเหมาะสมค่ะ 

 6. เอาแต่สั่งอย่างเดียว

          ไม่ว่าลูกของคุณจะทำอะไร คุณก็คอยสั่งลูกตลอดเวลา โดยที่คุณไม่อธิบายให้เขาฟังสักนิด ว่าสิ่งที่คุณสั่งให้เขาทำ ทำไมลูกต้องทำ ถ้าทำแล้วลูกจะได้ผลอะไรกลับมา เพราะถ้าคุณเอาแต่สั่งอย่างเดียว จะทำให้เด็กคิดเองไม่เป็น ต้องฟังคุณสั่งตลอดไป ถ้าคุณไม่อยากให้ลูกเป็นหุ่นยนต์ ที่คุณต้องคอยป้อนคำสั่ง ก็ปล่อยให้ลูกคิดเอง ทำอะไรเองบ้างดีกว่าค่ะ 

 7. เก็บอารมณ์มาลงที่ลูก 

          คุณอาจจะเครียดมาจากเรื่องงาน หรือเรื่องคู่ของคุณ แต่คุณก็ไม่ควรเก็บอารมณ์ต่าง ๆ มาลงที่ลูกของคุณนะ เพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องการงานของคุณหรอก ฉะนั้นถ้ากลับบ้านมาแล้วเจอหน้าลูก ก็ทิ้งอารมณ์เหล่านั้นไปเสีย แล้วหันมายิ้มให้กับพวกเขาดีกว่านะ

 8. ไม่สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับลูก     

          แต่ละวัน คุณอาจจะต้องหัวเสียกับพฤติกรรมของลูก ๆ ของคุณบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่มันจะแปลกถ้าคุณทำตัวเมินเฉย หรือเฉยชาใส่ลูก โดยที่คุณไม่ยอมหันกลับไปพูดกับลูกให้ดี ๆ คุณรู้หรือเปล่าว่าการทำแบบนี้ มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับลูกจะยิ่งแย่ลง และเมื่อนานเข้าปัญหานี้ก็ถูกสะสมไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกไม่สามารถกลับมาดีได้อีกเลย 

 9. ลงโทษลูกในที่สาธารณชน

          ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครชอบโดนต่อว่า หรือลงโทษในที่สาธารณะหรอกนะ ฉะนั้นถ้าลูกของคุณทำผิด คุณและลูกของคุณควรปลีกตัวออกมาเพื่อว่ากล่าวตักเตือนกันก่อนแล้วค่อยกลับเข้าไป แต่ถ้าในสถานการณ์นั้น คุณไม่สามารถจะปลีกตัวออกมาได้เลย ก็ให้กระซิบบอกลูกของคุณก่อนก็ได้ว่าลูกทำอะไรผิด แล้วเก็บไปลงโทษกันทีหลัง

 10. ตัดสินลูกจากสิ่งที่เห็น

          หากคุณเห็นลูกของคุณทำผิด คุณไม่ควรลงโทษเขาโดยทันที แต่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้อธิบายเหตุการณ์ก่อน แล้วคุณก็ลองพิจารณาดูว่าลูกของคุณผิดจริง ๆหรือไม่ ถ้าลูกของคุณเป็นฝ่ายผิดก็ค่อยลงโทษเขาตามที่คุณเห็นว่าเหมาะสม 



1.การลงโทษที่ไม่เหมาะสม มีการถกเถียงกันอย่างมากมายว่าเมื่อเด็กทำผิดควรมีการลงโทษหรือไม่ เพราะมีทั้งงานวิจัยที่กล่าวว่าเมื่อเด็กๆ ทำผิด ควรได้รับการตักเตือนว่ากล่าวหรือทำโทษด้วยการตีที่มีเหตุผล และมีงานวิจัยที่กล่าวว่าไม่ควรลงโทษเด็กด้วยการตีเลย เพราะจะสร้างความโกรธให้กับลูกโดยไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ดีของลูกได้
     
       ในความคิดของผู้เขียนเห็นว่า การลงโทษทำได้แต่ต้องมีเหตุผลและไม่ควรลงโทษอย่างรุนแรง อย่างเช่น กรณีที่ลูกอายุ 6-8 ขวบ ทำแก้วแตกโดยไม่ตั้งใจ พ่อแม่ต้องตักเตือนว่ากล่าวให้มีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ไม่ควรลงโทษโดยการตี เพราะลูกไม่ได้ตั้งใจ แต่หากเป็นกรณีที่อยู่ดีๆ ลูกอายุ 6-8 ขวบ เอาแก้วโยนลงกับพื้นอย่างจงใจจนแก้วแตก พ่อแม่ต้องเรียกว่าคุยถามเหตุผลว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น ถ้าเด็กยังแสดงท่าทางก้าวร้าวดื้อรั้นอาจต้องลงโทษด้วยการตีที่มือและอบรมสั่งสอนลูกไปด้วย พร้อมให้เหตุผลว่าทำไมลูกต้องถูกตี แต่จำไว้ว่าอย่าตีเพื่อระบายอารมณ์โกรธของพ่อแม่และอย่าทำด้วยความรุนแรง ที่ตีเพื่อตัองการอบรมหรือขัดเกลานิสัยของลูก เพื่อที่จะให้ลูกสำนึกผิด เข็ดหลาบและรู้ว่าไม่ควรทำความผิดนั้นอีก
     
       2. การลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน บางครอบครัวที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน พ่อแม่อาจจะให้ความรักและการเอาใจใส่ให้ลูกแต่ละคนไม่เท่ากัน เช่น รักลูกคนเล็กมากกว่าลูกคนโต รักลูกชายมากกว่าลูกสาว รักคนที่เรียนเก่งมากกว่าคนที่เรียนอ่อน ซึ่งการแสดงออกถึงความรักที่ไม่เท่ากันนั้นเป็นสิ่งที่ลูกๆสัมผัสได้ ยิ่งถ้ามีการแสดงออกที่เปรียบเทียบชัดเจน ลูกจะรู้สึกเสียใจและมีความทุกข์มาก เช่น กอดแต่ลูกสาวไม่เคยกอดลูกชายเลย หรือพูดชมแต่ลูกคนที่เก่งแต่ติเตียนลูกคนที่ด้อยกว่าตลอดเวลา พฤติกรรมผิดพลาดที่พ่อแม่แสดงออกเหล่านี้ อาจจะทำให้เด็กคนที่ไม่ได้รับความรักหรือความภูมิใจจากพ่อแม่กลายเป็นเด็กที่มีปมด้อย ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ขี้อิจฉา หวาดระแวงและอาจส่งผลรุนแรงมากไปถึงการก้าวร้าว อารมณ์รุนแรงและประชดชีวิตด้วยการทำตัวไม่ดี
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       3.การระบายอารมณ์ใส่ลูกและด่าว่าลูกด้วยถ้อยคำหยาบคาย มีพ่อแม่หลายคนที่เห็นลูกเป็นที่รองรับอารมณ์ บางทีอารมณ์เสียมาจากที่อื่นก็มาลงกับลูก เพราะรู้ว่าลูกไม่สามารถตอบโต้ได้ บางครั้งเมื่อลูกทำอะไรขวางหูขวางตาอย่างไม่ตั้งใจก็ด่าว่าลูกด้วยถ้อยคำหยาบคาย ประจานให้อับอาย เสียดสีประชดประชัน ขึ้นมึงขึ้นกู ทำให้ลูกรู้สึกเสียใจ เจ็บใจ อับอายและเป็นทุกข์ ซึ่งถ้าพ่อแม่ทำร้ายลูกด้วยพฤติกรรมเช่นนี้บ่อยๆ จะส่งผลให้ลูกเป็นคนมีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว มีอารมณ์รุนแรง มีจิตใจหยาบกระด้างและมีพฤติกรรมที่หยาบคายตามอย่างพ่อแม่ได้
     
       4.การไม่เข้าใจธรรมชาติของลูก เชื่อหรือไม่ว่ามีพ่อแม่หลายต่อหลายคนที่ขาดความเข้าใจในตัวลูกและไม่มีความเข้าใจในพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย จึงทำให้มีพ่อแม่มากมายที่ทำในสิ่งที่ผิดพลาดกับลูกๆ ของตนเอง เช่นบังคับให้ลูกในวัย2-3ขวบต้องเขียนหนังสือให้ได้ ทั้งๆที่เด็กในวัยนี้ยังมีกล้ามเนื้อมือที่ยังไม่พร้อมที่จะจับดินสอได้ หรือการที่มีพ่อแม่บางคนบังคับให้ลูกเรียนหรือสอบเข้าในสิ่งที่ลูกไม่ชอบหรือไม่มีความถนัด โดยอ้างว่าทำเพื่ออนาคตของลูก

#ซึ่งแม่เราก็เป็นแบบนั้น เเละเราก็พร้อมที่จะต่อต้าน ... ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป 

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อันดับและความสำคัญของอาหารไทย

อาหารไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ต้มยำกุ้ง
อาหารไทย เป็นอาหารประจำของประเทศไทย ที่มีการสั่งสมและถ่ายทอดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีต จนเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ถือได้ว่าอาหารไทยเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่สำคัญของไทย อาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของคนไทย คือ น้ำพริกปลาทู พร้อมกับเครื่องเคียงที่จัดมาเป็นชุด[1]
จากผลการสำรวจ 50 อาหารที่อร่อยที่สุดในโลกปี 2554 โดย ซีเอ็นเอ็น (CNN) ผลปรากฏว่า อาหารไทยติดหลายอันดับ ได้แก่ ส้มตำอันดับที่ 46, น้ำตกหมู อันดับที่ 19, ต้มยำกุ้ง อันดับที่ 8 และ แกงมัสมั่น ติดอันดับที่ 1[2] และบิล เกตส์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ยังได้เผยถึงความประทับใจที่มีต่ออาหารไทย เนื่องจากอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ[3]
จุดเด่นของอาหารไทย คนไทยบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก โดยนิยมกัน 2 ชนิดคือ ข้าวเหนียวและข้าวเจ้า คนไทยภาคอีสานและภาคเหนือนิยมกินข้าวเหนียวเป็นหลัก ส่วนคนไทยภาคกลางและภาคใต้นิยมกินข้าวเจ้าเป็นหลัก ประเทศไทยที่ผูกพันกับสายน้ำเป็นหลัก ทำให้อาหารประจำครัวไทยประกอบด้วยปลาเป็นหลัก ทั้ง ปลาย่าง ปลาปิ้ง จิ้มน้ำพริก กินกับผักสดที่หาได้ตามหนองน้ำ ชายป่า หากกินปลาไม่หมดก็สามารถนำมาแปรรูปให้เก็บไว้ได้นาน ๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาแห้ง ปลาเค็ม ปลาร้า ปลาเจ่า อาหารรสเผ็ดที่ได้จากพริกนั้น ไทยได้รับนำมาเป็นเครื่องปรุงมาจากบาทหลวงชาวโปรตุเกส ในสมัยพระนารายณ์ ส่วนอาหารประเภทผัดไฟแรง ได้รับมาจากชาวจีนที่อพยพมาอยู่ในเมืองไทยในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อมีการเลี้ยงสัตว์ขายเป็นอาชีพและมีโรงฆ่าสัตว์ ทำให้มีการหาเนื้อสัตว์มารับประทานมากขึ้น มีการใช้เครื่องเทศหลากชนิดเพื่อช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อที่นำมาปรุงเป็นอาหาร เครื่องเทศที่คนไทยนิยมนำมาปรุงอาหารประเภทนี้เช่น ขิง กระชาย ที่ดับกลิ่นคาวปลามานาน ก็นำมาประยุกต์กับเนื้อสัตว์ประเภทวัว ควาย เป็นสูตรใหม่ของคนไทย

จุดกำเนิด[แก้]

อาหารไทยมีจุดกำเนิดพร้อมกับการตั้งชนชาติไทย และมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน จากการศึกษาของ อาจารย์กอบแก้ว นาจพินิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตเรื่องความเป็นมาของอาหารไทยยุคต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้

สมัยสุโขทัย[แก้]

อาหารไทยในสมัยสุโขทัยได้อาศัยหลักฐานจากศิลาจารึก และวรรณคดี สำคัญคือ ไตรภูมิพระร่วงของพญาลิไท ที่ได้กล่าวถึงอาหารไทยในสมัยนี้ว่า มีข้าวเป็นอาหารหลัก โดยกินร่วมกันกับเนื้อสัตว์ ที่ส่วนใหญ่ได้มาจากปลา มีเนื้อสัตว์อื่นบ้าง กินผลไม้เป็นของหวาน การปรุงอาหารได้ปรากฏคำว่า “แกง” ใน ไตรภูมิพระร่วงที่เป็นที่มาของคำว่า ข้าวหม้อแกงหม้อ ผักที่กล่าวถึงในศิลาจารึก คือ แฟง แตงและน้ำเต้า ส่วนอาหารหวานก็ใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน เช่น ข้าวตอก และน้ำผึ้ง ส่วนหนึ่งนิยมกินผลไม้แทนอาหารหวาน

สมัยอยุธยา[แก้]

สมัยนี้ถือว่าเป็นยุคทองของไทย ได้มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมากขึ้นทั้งชาวตะวันตกและตะวันออก จากบันทึกเอกสารของชาวต่างประเทศ พบว่าคนไทยกินอาหารแบบเรียบง่าย ยังคงมีปลาเป็นหลัก มีต้ม แกง และคาดว่ามีการใช้น้ำมันในการประกอบอาหารแต่เป็นน้ำมันจากมะพร้าวและกะทิมากกว่าไขมันหรือน้ำมันจากสัตว์มาทำอาหารอยุธยามีเช่น หนอนกะทิ วิธีทำคือ ตัดต้นมะพร้าว แล้วเอาหนอนที่อยู่ในต้นนั้นมาให้กินกะทิแล้วก็นำมาทอดก็กลายเป็นอาหารชาววังขึ้น คนไทยสมัยนี้มีการถนอมอาหาร เช่นการนำไปตากแห้ง หรือทำเป็นปลาเค็ม มีอาหารประเภทเครื่องจิ้ม เช่นน้ำพริกกะปิ นิยมบริโภคสัตว์น้ำมากกว่าสัตว์บก โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ ไม่นิยมนำมาฆ่าเพื่อใช้เป็นอาหาร ได้มีการกล่าวถึงแกงปลาต่างๆ ที่ใช้เครื่องเทศ เช่น แกงที่ใส่หัวหอม กระเทียม สมุนไพรหวาน และเครื่องเทศแรงๆ ที่คาดว่านำมาใช้ประกอบอาหารเพื่อดับกลิ่นคาวของเนื้อปลา หลักฐานจากการบันทึกของบาทหลวงชาวต่างชาติที่แสดงให้เห็นว่าอาหารของชาติต่าง ๆ เริ่มเข้ามามากขึ้นในสมเด็จพระนารายณ์ เช่น ญี่ปุ่นโปรตุเกส เหล้าองุ่นจากสเปน เปอร์เซีย และฝรั่งเศส สำหรับอิทธิพลของอาหารจีนนั้นคาดว่าเริ่มมีมากขึ้นในช่วงยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายที่ไทยตัดสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าอาหารไทยในสมัยอยุธยา ได้รับเอาวัฒนธรรมจากอาหารต่างชาติ โดยผ่านทางการมีสัมพันธไมตรีทั้งทางการทูตและทางการค้ากับประเทศต่างๆ และจากหลักฐานที่ปรากฏทางประวัติศาสตร์ว่าอาหารต่างชาติส่วนใหญ่แพร่หลายอยู่ในราชสำนัก ต่อมาจึงกระจายสู่ประชาชน และกลมกลืนกลายเป็นอาหารไทยไปในที่สุด

สมัยธนบุรี[แก้]

จากหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ ซึ่งเป็นตำราการทำกับข้าวเล่มที่ 2 ของไทย ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงษ์ พบความต่อเนื่องของวัฒนธรรมอาหารไทยจากกรุงสุโขทัยมาถึงสมัยอยุธยา และสมัยกรุงธนบุรี และยังเชื่อว่าเส้นทางอาหารไทยคงจะเชื่อมจากกรุงธนบุรีไปยังสมัยรัตนโกสินทร์ โดยผ่านทางหน้าที่ราชการและสังคมเครือญาติ และอาหารไทยสมัยกรุงธนบุรีน่าจะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา แต่ที่พิเศษเพิ่มเติมคือมีอาหารประจำชาติจีน

สมัยรัตนโกสินทร์[แก้]

[[การศึกษาความเป็นมาของอาหารไทยในยุครัตนโกสินทร์นี้ได้จำแนกตามยุคสมัยที่นักประวัติศาสตร์ได้กำหนดไว้ คือ ยุคที่ 1 ตั้งแต่สมัย]]รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 และยุคที่ 2 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ดังนี้

พ.ศ. 2325–2394[แก้]

อาหารไทยในยุคนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับสมัยธนบุรี แต่มีอาหารไทยเพิ่มขึ้นอีก 1 ประเภท คือ นอกจากมีอาหารคาว อาหารหวานแล้วยังมีอาหารว่างเพิ่มขึ้น ในช่วงนี้อาหารไทยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอาหารของประเทศจีนมากขึ้น และมีการปรับเปลี่ยนเป็นอาหารไทย ในที่สุด จากจดหมายความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ที่กล่าวถึงเครื่องตั้งสำรับคาวหวานของพระสงฆ์ ในงานสมโภชน์ พระพุทธมณีรัตนมหาปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ได้แสดงให้เห็นว่ารายการอาหารนอกจากจะมีอาหารไทย เช่น ผัก น้ำพริก ปลาแห้ง หน่อไม้ผัด แล้วยังมีอาหารที่ปรุงด้วยเครื่องเทศแบบอิสลาม และมีอาหารจีนโดยสังเกตจากการใช้หมูเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากหมูเป็นอาหารที่คนไทยไม่นิยม แต่คนจีนนิยม
บทพระราชนิพนธ์กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงกล่าวถึงอาหารคาวและอาหารหวานหลายชนิด ซึ่งได้สะท้อนภาพของอาหารไทยในราชสำนักที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะของอาหารไทยในราชสำนักที่มีการปรุงกลิ่น และรสอย่างประณีต และให้ความสำคัญของรสชาติอาหารมากเป็นพิเศษ และถือว่าเป็นยุคสมัยที่มีศิลปะการประกอบอาหารที่ค่อนข้างสมบูรณ์ที่สุด ทั้งรส กลิ่น สี และการตกแต่งให้สวยงามรวมทั้งมีการพัฒนาอาหารนานาชาติให้เป็นอาหารไทย
จากบทพระราชนิพนธ์ทำให้ได้รายละเอียดที่เกี่ยวกับการแบ่งประเภทของอาหารคาวหรือกับข้าวและอาหารว่าง ส่วนทีเป็นอาหารคาวได้แก่ แกงชนิดต่างๆ เครื่องจิ้ม ยำต่างๆ สำหรับอาหารว่างส่วนใหญ่เป็นอาหารว่างคาว ได้แก่ หมูแนม ล่าเตียง หรุ่ม รังนก ส่วนอาหารหวานส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ทำด้วยแป้งและไข่เป็นส่วนใหญ่ มีขนมที่มีลักษณะอบกรอบ เช่น ขนมผิง ขนมลำเจียก และมีขนมที่มีน้ำหวานและกะทิเจืออยู่ด้วย ได้แก่ ซ่าหริ่ม บัวลอย เป็นต้น
นอกจากนี้ วรรณคดีไทย เรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งถือว่าเป็นวรรณคดีที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนในยุคนั้นอย่างมากรวมทั้งเรื่องอาหารการกินของชาวบ้าน พบว่ามีความนิยมขนมจีนน้ำยา และมีการกินข้าวเป็นอาหารหลัก ร่วมกับกับข้าวประเภทต่างๆ ได้แก่ แกง ต้ม ยำ และคั่ว อาหารมี ความหลากหลายมากขึ้นทั้งชนิดของอาหารคาว และอาหารหวาน

พ.ศ. 2394–ปัจจุบัน[แก้]

ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างมาก และมีการตั้งโรงพิมพ์แห่งแรกในประเทศไทย ดังนั้น ตำรับอาหารการกินของไทยเริ่มมีการบันทึกมากขึ้น โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 เช่นในบทพระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน จดหมายเหตุ เสด็จประพาสต้น เป็นต้น และยังมีบันทึกต่างๆ โดยผ่านการบอกเล่าสืบทอดทางเครือญาติ และบันทึกที่เป็นทางการอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นลักษณะของอาหารไทย ที่มีความหลากหลายทั้งที่เป็น กับข้าวอาหารจานเดียว อาหารว่าง อาหารหวาน และอาหารนานาชาติ ทั้งที่เป็นวิธีปรุงของราชสำนัก และวิธีปรุงแบบชาวบ้านที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าอาหารไทยบางชนิดในปัจจุบันได้มีวิธีการปรุงหรือส่วนประกอบของอาหารผิดเพี้ยนไปจากของดั้งเดิม จึงทำให้รสชาติของอาหารไม่ใช่ตำรับดั้งเดิม และขาดความประณีตที่น่าจะถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของอาหารไทย

อาหารไทยภาคต่าง ๆ[แก้]

อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ[แก้]

ภาคเหนือรวม 17 จังหวัดประกอบด้วยภูมินิเวศน์ที่หลากหลายพร้อมด้วยชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ราบลุ่ม ที่ดอน และที่ภูเขาสูงในการดำรงชีพ การตั้งถิ่นฐานของชาวไทยพื้นราบซึ่งเป็นชาติพันธุ์ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ที่พื้นที่ลุ่มบริเวณแม่น้ำสายใหญ่ เช่น ปิง วัง ยม น่าน
ของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน และ อิง ลาว ของลุ่มน้ำโขง มีวิถีชีวิตผูกพันกับวัฒนธรรมการปลูกข้าวโดยชาวไทยพื้นราบภาคเหนือตอนบน 9 จังหวัด (เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอนพะเยา อุตรดิตถ์ แพร่ น่าน) มีวัฒนธรรมการผลิตและการบริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก
อาหารของคนเหนือจะมีความงดงาม เพราะด้วยนิสัยคนเหนือจะมีกริยาที่แช่มช้อย จึงส่งผลต่ออาหาร โดยมากมักจะเป็นผัก

อาหารภาคตะวันออกเฉียงเหนือ[แก้]

ประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีวิถีชีวิตที่ผูกติดกับทรัพยากรธรรมชาติที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งในเขตที่ราบ ในแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร อาศัยลำน้ำสำคัญ เช่น ชี มูล สงคราม โขง เป็นต้น และชุมชนที่อาศัยในเขตภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทือกเขาภูพานและเทือกเขาเพชรบูรณ์ ซึ่งความแตกต่างของทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ระบบอาหารและรูปแบบการจัดการอาหารของชุมชนแตกต่างกันไปด้วย แต่เดิมในช่วงที่ทรัพยากรธรรมชาติยังอุดมสมบูรณ์ อาหารจากธรรมชาติมีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์มาก ชาวบ้านจะหาอาหารจากแหล่งอาหารธรรมชาติเท่าที่จำเป็นที่จะบริโภคในแต่ละวันเท่านั้น เช่น การหาปลาจากแม่น้ำ ไม่จำเป็นต้องจับปลามาขังทรมานไว้ และหากวันใดจับปลาได้มากก็แปรรูปเป็นปลาร้าหรือปลาแห้งไว้บริโภคได้นาน ส่งผลให้ชาวบ้านพึ่งพาอาหารจากตลาดน้อยมาก ชาวบ้านจะ “ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก” สวนหลังบ้านมีบทบาทสำคัญในฐานะเป็นแหล่งอาหารประจำครัวเรือน ชาวบ้านมีฐานคิดสำคัญเกี่ยวกับการผลิตอาหาร คือ ผลิตให้เพียงพอต่อการบริโภค มีเหลือแบ่งปันให้ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านและทำบุญ
อาหารอีสานจะเน้นไปทางรสชาติที่รสจัด เช่น ส้มตำปูปลาร้า

อาหารภาคกลาง[แก้]

ลักษณะอาหารพื้นบ้านภาคกลางมีที่มาต่างกันดังนี้
  1. ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ เช่น เครื่องแกง แกงกะทิ จะมาจากชาวฮินดู การผัดโดยใช้กระทะและน้ำมันมาจากประเทศจีนหรือขนมเบื้องไทย ดัดแปลงมาจาก ขนมเบื้องญวน ขนมหวานประเภททองหยิบ ทองหยอดรับอิทธิพลจากประเทศทางตะวันตก เป็นต้น
  2. เป็นอาหารที่มักมีการประดิษฐ์ โดยเฉพาะอาหารจากในวังที่มีการคิดสร้างสรรค์อาหารให้เลิศรส วิจิตรบรรจง เช่น ขนมช่อม่วง จ่ามงกุฎ หรุ่ม ลูกชุบ กระเช้าสีดา ทองหยิบ หรืออาหารประเภทข้าวแช่ผัก ผลไม้แกะสลัก
  3. เป็นอาหารที่มักจะมีเครื่องเคียง ของแนม เช่น น้ำพริกลงเรือ ต้องแนมด้วยหมูหวานแกงกะทิ แนมด้วยปลาเค็ม สะเดาน้ำปลาหวานก็ต้องคู่ กับกุ้งนึ่งหรือปลาดุกย่าง ปลาสลิดทอดรับประทานกับน้ำพริกมะม่วง หรือไข่เค็มที่มักจะรับประทานกับน้ำพริกลงเรือ น้ำพริกมะขามสดหรือน้ำพริกมะม่วง นอกจากนี้ยังมีของแหนมอีกหลายชนิด เช่น ผักดอง ขิงดอง หอมแดงดอง เป็นต้น
  4. เป็นภาคที่มีอาหารว่าง และขนมหวานมากมาย เช่น ข้าวเกรียบปากหม้อ กระทงทอง ค้างคาวเผือก ปั้นขลิบนึ่ง ไส้กรอกปลาแนม ข้าวตังหน้าตั้ง

อาหารภาคใต้[แก้]

ภาคใต้มีภูมิประเทศเป็นทะเล ชาวใต้นิยมใช้กะปิในการประกอบอาหาร อาหารที่ปรุงในครัวเรือนก็เหมือนๆกับอาหารไทยทั่วไป แต่รสชาติจะจัดจ้านกว่า อาหารใต้ไม่ได้มีเพียงแค่ความเผ็ดจากพริกแต่ยังใช้พริกไทยเพิ่มความเผ็ดร้อนอีกด้วย และเนื่องจากภาคใต้มีชาวมุสลิมเป็นจำนวนมาก ตามจังหวัดชายแดนใต้ก็ได้มีอาหารที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างอาหารใต้ที่ขึ้นชื่อได้แก่
  1. แกงไตปลา (ไตปลา ทำจากเครื่องในปลาผ่านกรมวิธีการหมักดอง) การทำแกงไตปลานั้นจะใส่ไตปลาและเครื่องแกงพริก ใส่สมุนไพรลงไป เนื้อปลาแห้ง หน่อไม้สด บางสูตรใส่ ฟักทอง ถั่วพลู หัวมัน ฯลฯ
  2. คั่วกลิ้ง เป็นผัดเผ็ดที่ใช้เครื่องแกงพริกและสมุนไพรปรุง รสชาติเผ็ดร้อน มักจะใส่เนื้อหมูสับ หรือ ไก่สับ
  3. แกงพริก แกงเผ็ดที่ใช้เครื่องแกงพริกเป็นส่วนผสม เนื้อสัตว์ที่ใช้ปรุงคือ เนื้อหมู กระดูกหมู หรือไก่
  4. แกงป่า แกงเผ็ดที่มีลักษณะที่คล้ายแกงพริกแต่น้ำจะใสกว่า เนื้อสัตว์ที่ใช้ปรุงคือ เนื้อปลา หรือ เนื้อไก่
  5. แกงส้ม หรือแกงเหลืองในภาษากลาง แกงส้มของภาคใต้จะไม่ใส่หัวกระชาย รสชาติจะจัดจ้านกว่าแกงส้มของภาคกลาง และที่สำคัญจะต้องใส่กะปิด้วย
  6. หมูผัดเคยเค็มสะตอ เคยเค็มคือการเอากุ้งเคยมาหมัก ไม่ใช่กะปิ
  7. ปลาต้มส้ม ไม่ใช่แกงเผ็ดแต่เป็นแกงสีเหลืองจากขมิ้น น้ำแกงมีรสชาติเปรี้ยวจากส้มควายและมะขามเปียก
อาหารขึ้นชื่อของชาวมุสลิม
  1. ข้าวยำน้ำบูดู เป็นอาหารพื้นเมืองของชาวมุสลิม ประกอบด้วยข้าวสวยใส่ผักนานาชนิดอย่างเช่น ถั่วฝักยาวซอย ดอกดาหลาซอย ถั่วงอก แตงกวาซอย ใบพลูซอย ใบมะกรูดอ่อนซอย กุ้งแห้งป่น ราดด้วยน้ำบูดู อาจจะโรยพริกป่นตามความต้องการ
  2. กือโป๊ะ เป็นข้าวเกรียบปลาที่มีถิ่นกำเนิดมาจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ (ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศมาเลเซีย) มีแบบกรอบซึ่งจะหั่นเป็นแผ่นบางๆแบบข้าวเกรียบทั่วไป แบบนิ่มจะมีลักษณะเป็นแท่ง เวลารับประทานจะเหนียวๆ รับประทานกับน้ำจิ้ม
  3. ไก่ย่าง ไก่ย่างของชาวมุสลิมในภาคใต้นั้น จะมีลักษณะพิเศษคือราดน้ำสีแดงลงไป น้ำสีแดงจะมีรสชาติเผ็ดนิดๆ หวาน เค็ม และกลมกล่อม สามารถหาได้ตามแผงอาหารทั่วไป ตามตลาดนัด หรือตลาดเปิดท้ายทั่วไป
  4. ไก่ทอดหาดใหญ่ จริง ๆ แล้วไก่ทอดหาดใหญ่เป็นไก่ทอดทั่วไป แต่ไก่ทอดหาดใหญ่เป็นไก่ทอดที่ขึ้นชื่อในภาคใต้

อาหารชาววัง[แก้]

อาหารชาววัง หรือ กับข้าวเจ้านาย คืออาหารที่ประดิษฐ์คิดค้นโดยผู้คนในรั้ววัง มีอัตลักษณ์ที่สำคัญคือ ความอุดมสมบูรณ์และความสดใหม่ของวัตถุดิบในการประกอบอาหาร มีกรรมวิธีในการทำซับซ้อน ประณีต ต้องใช้เวลาและกำลังผู้คนในการทำจำนวนมาก มีลักษณะความแปลกแตกต่าง ความวิจิตรบรรจง รวมถึงมีรสชาติที่นุ่มนวลไม่เผ็ดมาก มีความกลมกล่อมเป็นหลัก องค์ประกอบของอาหารชาววัง ในแต่ละมื้อจะประกอบด้วยอาหารที่มีความหลากหลาย ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีประเภทอาหารอย่างน้อยที่สุด 7 ประเภท คือ ข้าวเสวย เครื่องคาว เครื่องเคียงแกง เครื่องเคียงแขก เครื่องเคียงจิ้ม เครื่องเคียงเกาเหลา เครื่องหวาน อาหารมีครบรส คือ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด อาหารชาววังแตกต่างจากอาหารชาวบ้านคือ การจัดอาหารเป็นชุด หรือ สำรับอาหาร
จากหลักฐานอ้างอิงเดอ ลาลูแบร์ จดบันทึกไว้ว่า อาหารชาววัง คือ อาหารชาวบ้าน แต่มีการนำเสนอที่สวยงาม ไม่มีก้าง ไม่มีกระดูก ต้องเปื่อยนุ่ม ไม่มีของแข็ง ผักก็ต้องพอคำ หากมีเมล็ดก็ต้องนำออก [4] ถ้าเป็นเนื้อสันก็เป็นสันใน กุ้งก็ต้องกุ้งแม่น้ำไม่มีหัว ไม่ใช้ของหมัก ๆ ดอง ๆ หรือของแกงป่า หรือของอะไรที่คาว






10 อันดับอาหารไทยที่คนต่างชาติชื่นชอบ

อันดับที่ 10
Por Pia Tord or Fried Spring Roll
image
หรือ ปอเปี๊ยะทอดสุดอร่อยนั่นเอง
อันดับที่ 9
Gai Pad Met Mamuang or Cashew Nuts In Stir-Fried Chicken
image
หรือ ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อาหารระดับตำนานอีกจานของเมืองไทย
อันดับที่ 8
Som Tam or Spicy Papaya Salad
7586-attachment
หรือ ส้มตำ อาหารอีสานคลาสสิกที่ไม่มีใครไม่รู้จัก
อันดับที่ 7
Moo Sa-Te or Grilled Pork Sticks with Turmeric
image
หรือ หมูสะเต๊ะ อันหอมหวานพอดีลิ้น
อันดับที่ 6
Panaeng or Meat in Spicy Coconut Cream
image
หรือ พะแนง หวาน ๆ มัน ๆ เผ็ดเล็กน้อย พอปะแล่มลิ้น
อันดับที่ 5
Tom Yam Gai or Chicken Soup (Spicy)
image
หรือ ต้มยำไก่ อาหารจานเด็ดอีกรายการที่ถูกลิ้นถูกใจคนค่อนโลก
อันดับที่ 4
Tom Yam Goong or Spicy Shrimp Soup
image
หรือ ต้มยำกุ้ง สุดยอดอาหารไทยที่รู้จักทั่วโลก ดังขนาดต้องเอาไปตั้งชื่อหนังขายฝรั่ง
อันดับที่ 3
Tom Kha Kai Or Chicken In Coconut Milk Soup
image
หรือ ต้มข่าไก่ รสชาติและกลิ่นอันหอมหวลที่ใครก็ยากจะปฏิเสธ
อันดับที่ 2
Kang Keaw Wan Kai or Chicken Curry (Green)
image
หรือ แกงเขียวหวานไก่ อาหารจานเด็ดที่ประยุกต์ให้รับประทานได้กับหลากหลายเมนู
อันดับที่ 1Pad Thai
image
หรือ ผัดไทย ของโปรดของใครหลายคนที่ถือเป็นอาหารประจำชาติกันเลยทีเดียว (แค่ชื่อก็บ่งบอกแล้ว)
มีอาหารจานโปรดของใครบ้างหรือเปล่า เห็นกันหรือยังครับว่าเราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดเป็นคนไทย มีอาหารอร่อยและราคาถูกให้กินกันตลอดทั้งปีทั้งชาติ