วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พฤติกรรมที่ พ่อ หรือ แม่ กระทำเเล้วลูกรู้สึก ไม่โอเค

 1. แสดงพฤติกรรมไม่ดีให้ลูกเห็น

          คุณอย่าลืมนะว่าตอนนี้คุณเป็นแม่คนแล้ว และตอนนี้ก็มีลูก ๆ ของคุณอาศัยอยู่ในบ้านด้วย ดังนั้นถ้าลูกของคุณมาเห็นพฤติกรรมที่ไม่ดีของคุณเข้า พวกเขาก็อาจจะเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่ดีของคุณไปก็ได้ ฉะนั้นคุณควรระมัดระวังคำพูดและพฤติกรรมการแสดงออกของคุณให้มาก ไม่ว่าคุณจะอยู่ต่อหน้าลูก หรือลับหลังลูกของคุณก็ตาม

 2. เข้มงวดกับลูกเกินไป

          อะไรที่เกินไป ผลที่ตามมามักจะไม่ดีเสมอ และการเลี้ยงดูลูกก็เช่นกัน ถ้าหากคุณเข้มงวดกับลูกมากเกินไป ก็จะทำให้ลูกกลายเป็นขี้กลัว และไม่กล้าตัดสินใจอะไรเอง ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ลูกของคุณกลายเป็นเด็กมีปัญหาเมื่อโตขึ้น ก็ลองปล่อยเขาให้ตัดสินใจ หรือทำอะไรด้วยตัวเองบ้างนะคะ

 3. ปล่อยลูกมากเกินไป

          ไม่ว่าลูกของคุณจะทำอะไร ทั้งที่คุณก็รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี คุณเองกลับไม่เคยสั่งสอน หรือบอกอะไรกับลูกของคุณเลย แต่ปล่อยให้เขาทำผิดไปเรื่อย ๆ แบบนั้น โดยคิดว่าสักวันลูกคงจะดีขึ้นเอง ซึ่งถ้าหากคุณคิดแบบนี้อยู่ล่ะก็ ลองกลับมาคิดใหม่อีกทีนะคะ เพราะว่าลูกของคุณยังไม่สามารถแยกแยะด้วยตัวเองได้ ฉะนั้นถ้าคุณอยากจะให้ลูกของคุณรู้จักแยกแยะสิ่งดีกับสิ่งไม่ดีล่ะก็ ก็ควรเริ่มสอนเขาซะตั้งแต่ตอนนี้เลย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ 

 4. พูดมากเกินไป 

          คุณแม่อาจจะมีเหตุผลมากมายร้อยแปด เพื่ออธิบายให้ลูกคุณฟัง แต่คุณก็ควรทำความเข้าใจด้วยนะคะว่า ลูก ๆ ไม่ชอบฟังอะไรยาว ๆ และเข้าใจยากกันหรอก ฉะนั้นถ้าคุณอยากให้ลูกฟัง สิ่งที่คุณต้องการจะสอน ก็ควรหาคำพูดสั้น ๆ กระชับและเข้าใจง่าย เอาไว้อธิบายให้ลูกฟังดีกว่า

 5. ลงโทษลูกหนักเกินไป

          การลงโทษลูกเมื่อลูกทำผิดนั้น ก็เป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่คุณควรลงโทษให้เหมาะสมกับความผิดของเขาด้วย เช่น ถ้าเขาทำผิดเพราะเขาไม่รู้ ก็ควรตักเตือนกันเสียก่อน แต่ถ้าคุณบอกไปแล้ว แต่ลูกของคุณยังทำผิดอยู่ คุณก็สามารถลงโทษได้ตามความเหมาะสมค่ะ 

 6. เอาแต่สั่งอย่างเดียว

          ไม่ว่าลูกของคุณจะทำอะไร คุณก็คอยสั่งลูกตลอดเวลา โดยที่คุณไม่อธิบายให้เขาฟังสักนิด ว่าสิ่งที่คุณสั่งให้เขาทำ ทำไมลูกต้องทำ ถ้าทำแล้วลูกจะได้ผลอะไรกลับมา เพราะถ้าคุณเอาแต่สั่งอย่างเดียว จะทำให้เด็กคิดเองไม่เป็น ต้องฟังคุณสั่งตลอดไป ถ้าคุณไม่อยากให้ลูกเป็นหุ่นยนต์ ที่คุณต้องคอยป้อนคำสั่ง ก็ปล่อยให้ลูกคิดเอง ทำอะไรเองบ้างดีกว่าค่ะ 

 7. เก็บอารมณ์มาลงที่ลูก 

          คุณอาจจะเครียดมาจากเรื่องงาน หรือเรื่องคู่ของคุณ แต่คุณก็ไม่ควรเก็บอารมณ์ต่าง ๆ มาลงที่ลูกของคุณนะ เพราะพวกเขาไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ เรื่องการงานของคุณหรอก ฉะนั้นถ้ากลับบ้านมาแล้วเจอหน้าลูก ก็ทิ้งอารมณ์เหล่านั้นไปเสีย แล้วหันมายิ้มให้กับพวกเขาดีกว่านะ

 8. ไม่สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับลูก     

          แต่ละวัน คุณอาจจะต้องหัวเสียกับพฤติกรรมของลูก ๆ ของคุณบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่มันจะแปลกถ้าคุณทำตัวเมินเฉย หรือเฉยชาใส่ลูก โดยที่คุณไม่ยอมหันกลับไปพูดกับลูกให้ดี ๆ คุณรู้หรือเปล่าว่าการทำแบบนี้ มีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับลูกจะยิ่งแย่ลง และเมื่อนานเข้าปัญหานี้ก็ถูกสะสมไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกไม่สามารถกลับมาดีได้อีกเลย 

 9. ลงโทษลูกในที่สาธารณชน

          ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครชอบโดนต่อว่า หรือลงโทษในที่สาธารณะหรอกนะ ฉะนั้นถ้าลูกของคุณทำผิด คุณและลูกของคุณควรปลีกตัวออกมาเพื่อว่ากล่าวตักเตือนกันก่อนแล้วค่อยกลับเข้าไป แต่ถ้าในสถานการณ์นั้น คุณไม่สามารถจะปลีกตัวออกมาได้เลย ก็ให้กระซิบบอกลูกของคุณก่อนก็ได้ว่าลูกทำอะไรผิด แล้วเก็บไปลงโทษกันทีหลัง

 10. ตัดสินลูกจากสิ่งที่เห็น

          หากคุณเห็นลูกของคุณทำผิด คุณไม่ควรลงโทษเขาโดยทันที แต่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้อธิบายเหตุการณ์ก่อน แล้วคุณก็ลองพิจารณาดูว่าลูกของคุณผิดจริง ๆหรือไม่ ถ้าลูกของคุณเป็นฝ่ายผิดก็ค่อยลงโทษเขาตามที่คุณเห็นว่าเหมาะสม 



1.การลงโทษที่ไม่เหมาะสม มีการถกเถียงกันอย่างมากมายว่าเมื่อเด็กทำผิดควรมีการลงโทษหรือไม่ เพราะมีทั้งงานวิจัยที่กล่าวว่าเมื่อเด็กๆ ทำผิด ควรได้รับการตักเตือนว่ากล่าวหรือทำโทษด้วยการตีที่มีเหตุผล และมีงานวิจัยที่กล่าวว่าไม่ควรลงโทษเด็กด้วยการตีเลย เพราะจะสร้างความโกรธให้กับลูกโดยไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ดีของลูกได้
     
       ในความคิดของผู้เขียนเห็นว่า การลงโทษทำได้แต่ต้องมีเหตุผลและไม่ควรลงโทษอย่างรุนแรง อย่างเช่น กรณีที่ลูกอายุ 6-8 ขวบ ทำแก้วแตกโดยไม่ตั้งใจ พ่อแม่ต้องตักเตือนว่ากล่าวให้มีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ไม่ควรลงโทษโดยการตี เพราะลูกไม่ได้ตั้งใจ แต่หากเป็นกรณีที่อยู่ดีๆ ลูกอายุ 6-8 ขวบ เอาแก้วโยนลงกับพื้นอย่างจงใจจนแก้วแตก พ่อแม่ต้องเรียกว่าคุยถามเหตุผลว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น ถ้าเด็กยังแสดงท่าทางก้าวร้าวดื้อรั้นอาจต้องลงโทษด้วยการตีที่มือและอบรมสั่งสอนลูกไปด้วย พร้อมให้เหตุผลว่าทำไมลูกต้องถูกตี แต่จำไว้ว่าอย่าตีเพื่อระบายอารมณ์โกรธของพ่อแม่และอย่าทำด้วยความรุนแรง ที่ตีเพื่อตัองการอบรมหรือขัดเกลานิสัยของลูก เพื่อที่จะให้ลูกสำนึกผิด เข็ดหลาบและรู้ว่าไม่ควรทำความผิดนั้นอีก
     
       2. การลำเอียงรักลูกไม่เท่ากัน บางครอบครัวที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน พ่อแม่อาจจะให้ความรักและการเอาใจใส่ให้ลูกแต่ละคนไม่เท่ากัน เช่น รักลูกคนเล็กมากกว่าลูกคนโต รักลูกชายมากกว่าลูกสาว รักคนที่เรียนเก่งมากกว่าคนที่เรียนอ่อน ซึ่งการแสดงออกถึงความรักที่ไม่เท่ากันนั้นเป็นสิ่งที่ลูกๆสัมผัสได้ ยิ่งถ้ามีการแสดงออกที่เปรียบเทียบชัดเจน ลูกจะรู้สึกเสียใจและมีความทุกข์มาก เช่น กอดแต่ลูกสาวไม่เคยกอดลูกชายเลย หรือพูดชมแต่ลูกคนที่เก่งแต่ติเตียนลูกคนที่ด้อยกว่าตลอดเวลา พฤติกรรมผิดพลาดที่พ่อแม่แสดงออกเหล่านี้ อาจจะทำให้เด็กคนที่ไม่ได้รับความรักหรือความภูมิใจจากพ่อแม่กลายเป็นเด็กที่มีปมด้อย ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ขี้อิจฉา หวาดระแวงและอาจส่งผลรุนแรงมากไปถึงการก้าวร้าว อารมณ์รุนแรงและประชดชีวิตด้วยการทำตัวไม่ดี
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       3.การระบายอารมณ์ใส่ลูกและด่าว่าลูกด้วยถ้อยคำหยาบคาย มีพ่อแม่หลายคนที่เห็นลูกเป็นที่รองรับอารมณ์ บางทีอารมณ์เสียมาจากที่อื่นก็มาลงกับลูก เพราะรู้ว่าลูกไม่สามารถตอบโต้ได้ บางครั้งเมื่อลูกทำอะไรขวางหูขวางตาอย่างไม่ตั้งใจก็ด่าว่าลูกด้วยถ้อยคำหยาบคาย ประจานให้อับอาย เสียดสีประชดประชัน ขึ้นมึงขึ้นกู ทำให้ลูกรู้สึกเสียใจ เจ็บใจ อับอายและเป็นทุกข์ ซึ่งถ้าพ่อแม่ทำร้ายลูกด้วยพฤติกรรมเช่นนี้บ่อยๆ จะส่งผลให้ลูกเป็นคนมีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าว มีอารมณ์รุนแรง มีจิตใจหยาบกระด้างและมีพฤติกรรมที่หยาบคายตามอย่างพ่อแม่ได้
     
       4.การไม่เข้าใจธรรมชาติของลูก เชื่อหรือไม่ว่ามีพ่อแม่หลายต่อหลายคนที่ขาดความเข้าใจในตัวลูกและไม่มีความเข้าใจในพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย จึงทำให้มีพ่อแม่มากมายที่ทำในสิ่งที่ผิดพลาดกับลูกๆ ของตนเอง เช่นบังคับให้ลูกในวัย2-3ขวบต้องเขียนหนังสือให้ได้ ทั้งๆที่เด็กในวัยนี้ยังมีกล้ามเนื้อมือที่ยังไม่พร้อมที่จะจับดินสอได้ หรือการที่มีพ่อแม่บางคนบังคับให้ลูกเรียนหรือสอบเข้าในสิ่งที่ลูกไม่ชอบหรือไม่มีความถนัด โดยอ้างว่าทำเพื่ออนาคตของลูก

#ซึ่งแม่เราก็เป็นแบบนั้น เเละเราก็พร้อมที่จะต่อต้าน ... ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป